กระทรวงสาธารณสุข จัดให้บริการตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น และวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ให้ชาวไทยมุสลิมที่จะเดินทางไปแสวงบุญพิธีฮัจย์ ประจำปี 2562 จำนวน 13,000 คน พร้อมทั้งจัดทีมแพทย์ พยาบาล ร่วมดูแลสุขภาพระหว่างประกอบศาสนกิจที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย และเฝ้าระวังติดตามสุขภาพหลังกลับมาด้วย
วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 ที่ศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติ เฉลิมพระเกียรติ กรุงเทพมหานคร นายแพทย์ธวัช สุนทราจารย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค นายอรุณ บุญชม ผู้แทนจุฬาราชมนตรี อับดุลอิลาห์ อัลชุอัยบี อุปทูตซาอุดิอาระเบีย ประจำประเทศไทย พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมพิธีเปิดโครงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคติดต่อแก่ชาวไทยมุสลิมที่ไปแสวงบุญ ณ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ปี 2562 โดยในวันนี้มีผู้มารับบริการฉีดวัคซีน ประมาณ 1,500 คน
นายแพทย์ธวัช สุนทราจารย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในแต่ละปีจะมีผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม ประมาณ 2-3 ล้านคน เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ในจำนวนนี้เป็นชาวไทยมุสลิม จำนวน 13,000 คน ซึ่งประเทศซาอุดิอาระเบีย ได้กำหนดให้ผู้ที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น ก่อนเดินทางเข้าประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้มีการฉีดวัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น และเพิ่มวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ พร้อมทั้งตรวจสุขภาพให้กับผู้แสวงบุญทุกคน รวมถึงได้จัดระบบดูแลสุขภาพพี่น้องชาวไทยมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ตั้งแต่การเตรียมความพร้อมด้านสุขภาพก่อนการเดินทาง ระหว่างการเดินทาง และหลังการเดินทาง นอกจากนี้ ในปีนี้ได้มีการเตรียมระบบฐานข้อมูลด้านสุขภาพของผู้แสวงบุญ เพื่อการเฝ้าระวังและติดตาม โดยจะรายงานสถานะสุขภาพแบบ Real time และมีสมุดวัคซีนที่สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้
แนวทางในการดูแลสุขภาพผู้เดินทางไปแสวงบุญ ดังนี้ 1.ก่อนเดินทาง ให้บริการตรวจสุขภาพและประเมินความเสี่ยงทางสุขภาพโดยหน่วยบริการสาธารณสุขและทีมหมอครอบครัว พร้อมให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น และวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ทั่วประเทศ ฟรี และออกเอกสารรับรองการได้รับวัคซีนป้องกันโรค (เล่มเหลือง) 2.ขณะอยู่ในประเทศซาอุดิอาระเบีย จัดส่งหน่วยแพทย์พยาบาลของไทย ดูแลสุขภาพอย่างใกล้ชิด และ 3.หลังกลับจากพิธีฮัจย์ จัดให้มีระบบเฝ้าระวังติดตามสุขภาพและโรคติดต่อสำคัญ เช่น โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง เป็นระยะเวลา 30 วัน โดย อสม.ฮัจย์ และทีมหมอครอบครัว เป็นผู้ประสานงานระดับพื้นที่ และสร้างเครือข่ายผู้ประสานงานฮัจย์ หรือมิสเตอร์ฮัจย์ ทั้งในระดับจังหวัด ระดับเขต และระดับประเทศ
ด้านนายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สำหรับชาวไทยมุสลิมที่จะรับบริการฉีดวัคซีนก่อนเดินทาง สามารถไปรับบริการได้ที่สถานบริการของหน่วยงานรัฐ ดังนี้ 1.สถาบันบำราศนราดูร 2.สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง 3.รพ.เวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล 4.รพ.ศิริราช 5.สถานเสาวภา สภากาชาดไทย 6.คลินิกเวชศาสตร์การเดินทางและท่องเที่ยว สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1 เชียงใหม่ 7.ศูนย์พัทยารักษ์ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 6 ชลบุรี 8.ศูนย์หาดใหญ่นวรัตน์ จ.สงขลา 9.ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ท่าเรือกรุงเทพ 10.ด่านควบคุมโรคฯ ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี 11.ด่านควบคุมโรคฯ ท่าเรือมาบตาพุด จ.ระยอง 12.ด่านควบคุมโรคฯ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 13.ด่านควบคุมโรคฯ ท่าอากาศยานดอนเมือง 14.ด่านควบคุมโรคฯ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ 15.ด่านควบคุมโรคฯ ท่าอากาศยานหาดใหญ่ 16.ด่านควบคุมโรคฯ ท่าอากาศยานภูเก็ต 17.ด่านควบคุมโรคฯ พรมแดนสะเดา จ.สงขลา และ 18.ด่านควบคุมโรคฯ พรมแดนสุไหงโกลก จ.นราธิวาส ซึ่งขณะนี้ได้มีการจัดเตรียมวัคซีนไว้ให้บริการอย่างเพียงพอแก่ผู้เดินทางไปแสวงบุญที่ได้ขึ้นทะเบียนกับกรมการศาสนาไว้แล้ว สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
**************************************************
ข้อมูลจาก : สำนักโรคติดต่อทั่วไป / สำนักสื่อสารความเสี่ยงฯ กรมควบคุมโรค
โทรศัพท์ 02-590-3859 / วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562