กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศร่วมกับกรมปศุสัตว์จัดสัมมนา เรื่อง “โคนมไทย ก้าวไปพร้อมกับ เอฟทีเอ” เตรียมความพร้อมให้กับเกษตรกร และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมโคนมไทย รับมือความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่ไทยทำกับประเทศคู่ค้า และใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอบุกตลาดต่างประเทศ พร้อมโชว์ความสำเร็จจากการร่วมกันทำงานอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2561 ที่ผ่านมา
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานสัมมนา เรื่อง “โคนมไทย ก้าวไปพร้อมกับเอฟทีเอ” ในวันที่ 29 มกราคม 2562 ณ โรงแรมเซอร์เจมส์ รีสอร์ท แอนด์ คันทรีคลับ อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี โดยมีเกษตรกรและผู้ประกอบการโคนมไทยที่เกี่ยวข้องทั้งระบบกว่า 150 คน เข้าร่วม เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และเรียนรู้จากความสำเร็จของเกษตรกรและผู้ประกอบการโคนมที่เข้าร่วมโครงการ “จัดทัพโคนมไทยบุกตลาดต่างประเทศด้วยเอฟทีเอ” ที่กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ร่วมกับ กรมปศุสัตว์ เมืองนวัตกรรมอาหาร ชุมนุมสหกรณ์โคนมประเทศไทย และศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาผู้บริหารทางธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดขึ้นในปี 2561 โดยคัดเลือกเกษตรกร ผู้ประกอบการนมและผลิตภัณฑ์นมของไทยที่มีความพร้อมในการทำตลาดต่างประเทศ เข้าฝึกอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพการผลิตและการทำตลาด และได้พาไปเรียนรู้ตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคจีน ตลอดจนจัดให้มีการเจรจาจับคู่ธุรกิจกับผู้ประกอบการจีน จนประสบความสำเร็จมียอดสั่งซื้อ นับเป็นการใช้ประโยชน์จากการที่จีนลดภาษีนำเข้าสินค้านมและผลิตภัณฑ์นมจากไทยเหลือร้อยละ 0 ภายใต้เอฟทีเอ ขยายการส่งออกนมและผลิตภัณฑ์นมของไทยไปจีน โดยปัจจัยของความสำเร็จที่สำคัญ อาทิ การศึกษากฎระเบียบการนำเข้าของจีนให้เข้าใจ การศึกษาช่องทางการจัดจำหน่ายโดยเฉพาะปัจจุบันผู้บริโภคจีนนิยมสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ในแพลตฟอร์มมีชื่อของจีนกันมากขึ้น การให้ความสำคัญกับรักษาคุณภาพมาตรฐาน พัฒนานวัตกรรม และสร้างความแตกต่างสร้างสรรค์ให้กับสินค้า เช่น การผลิตนมอัดเม็ดรสชาติต่างๆ ซึ่งเป็นที่นิยมของผู้บริโภคชาวจีน การผลิตนมที่ไม่มีแลคโตส นมออร์แกนิค เนื่องจากผู้บริโภคชาวจีนให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น เป็นต้น
“กรมฯ เล็งเห็นศักยภาพของอุตสาหกรรมโคนมไทย จึงได้แนะนำให้เกษตรกร และผู้ประกอบการโคนมของไทยแสวงโอกาสในการส่งออกนมและผลิตภัณฑ์ของไทยไปตลาดอาเซียน และจีน ที่ปัจจุบันไม่เก็บภาษีนำเข้าจากไทยแล้ว สืบเนื่องจากการทำความตกลงเอฟทีเอระหว่างกัน ขณะเดียวกันก็จะต้องเตรียมความพร้อมรับมือการเปิดเสรีภายใต้เอฟทีเอที่ไทยทำกับออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยทั้งสองประเทศได้ลดภาษีศุลกากรให้กับสินค้าจากไทย ทุกรายการเหลือร้อยละ 0 แล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 ขณะที่ไทยจะต้องทยอยลดภาษี ยกเลิกโควตา และเปิดเสรีเต็มรูปแบบให้กับสินค้านมผงที่มีไขมันเกิน 1.5% (ไม่ใช้เลี้ยงทารก) เวย์โปรตีน ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของนม เนยไขมันเนย และเนยแข็ง จากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ในปี 2564 และให้กับน้ำนมดิบ นมผงขาดมันเนย และเครื่องดื่มประเภทนมปรุงแต่ง จากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ในปี 2568 จึงจำเป็นต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมนมของไทย ผ่านการลดต้นทุนการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตน้ำนมดิบ ให้ความสำคัญกับการวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ รวมทั้ง อาจอาศัยความได้เปรียบในเชิงที่ตั้งความเป็นศูนย์กลางอาเซียนของไทย ส่งเสริมการลงทุนและการร่วมทุนจากสองประเทศเพื่อให้เกิดการพัฒนาถ่ายทอดเทคโนโลยีที่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมโคนมไทย ซี่งกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จะร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรจับมือกันทำงานต่อไปในปี 2562 เพื่อช่วยเสริมสร้างศักยภาพเกษตรกรและผู้ประกอบการนมของไทยให้แข่งขันได้ในเอฟทีเอ” นางอรมนกล่าว
ทั้งนี้ ในปี 2561 ไทยส่งออกนมและผลิตภัณฑ์เป็นมูลค่า 472.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ร้อยละ 16.42 โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญ เช่น กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ขณะที่ไทยนำเข้านมและผลิตภัณฑ์เป็นมูลค่า 630.82 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ร้อยละ 4.1 โดยมีแหล่งนำเข้าสำคัญ เช่น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกาฯ โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้านมผงเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร
—————————————-
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
กระทรวงพาณิชย์