วันที่ 24 มกราคม 2562 นายสัตวแพทย์จีระศักดิ์ พิพัฒนพงศ์โสภณ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ เข้าร่วมบรรยายในหัวข้อเรื่อง “update สถานการณ์ล่าสุดของ African Swine Fever ในประเทศจีนและประเทศไทย ความพร้อมในการรับมือ” ในรายการปศุสัตว์สนทนา ณ ห้อง 144 โรงพยาบาลปศุสัตว์ ศูนย์ฝึกนิสิต คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีเกษตรกร สัตวแพทย์ผู้ปฏิบัติงานเอกชน คณาจารย์ และบุคลากรของกรมปศุสัตว์เข้าร่วมรับฟังการบรรยาย ด้วยโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร เป็นโรคระบาดตาม พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 กรมปศุสัตว์มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายในการควบคุม และป้องกันโรค รองอธิบดีได้ให้ข้อสังเกตแก่เกษตรกร เกี่ยวกับเชื้อ ดังนี้ ความสำคัญของโรค มี 4+1 คือ ไม่สามารถใช้ยารักษาให้หาย ยังไม่สามารถทำวัคซีนได้ ตัวเชื้อมีความทนทานแข็งแรง ทำให้สุกรตายเกือบ 100% และไม่ใช่โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน
อีกทั้งได้แจ้งมาตรการการเตรียมพร้อมต่างๆของกรมปศุสัตว์โดยรอบด้าน เพื่อให้เกษตรกรได้รับทราบถึงความเอาใจใส่ของภาครัฐ และรับรู้ถึงความเสี่ยงของโรคระบาด เพื่อนำไปปรับระบบความปลอดภัยทางชีวภาพในฟาร์มของตน ทั้งนี้ รองอธิบดีได้เน้นย้ำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับวงจรการเลี้ยงสุกร มีสำนึกความรับผิดชอบในการป้องกันโรคของตน และผู้เลี้ยงเกษตรกรรายย่อยรอบข้าง หมั่นสังเกตอาการป่วยของสุกร หากเข้าตามนิยามการเกิดโรค ให้แจ้งเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ทันที
14.00 น. เป็นประธานในการประชุมติดตามงานด้านสุขภาพสัตว์ ในพื้นที่ปศุสัตว์เขต 7 โดยมีปศุสัตว์เขต ปศุสัตว์จังหวัดในพื้นที่ หัวหน้าด่านกักกันสัตว์ ผอ.ศวพ.ราชบุรี ศูนวิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวาง และนายสัตวแพทย์ผู้ปฏิบัติงานด้านสุขภาพสัตว์ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม สำนักงานปศุสัตว์เขต 7 โดยมีเนื้อหาที่สำคัญ ดังนี้
– โดยได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ในพื้นที่ตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อการเฝ้าระวังโรคแอฟริกาในสุกร โดยจะมีหนังสือสั่งการอีกครั้งให้เป็นลายลักษณ์อักษร รวมทั้งให้เฝ้าสังเกตอาการสุกรหากเข้านิยามให้รีบดำเนินการตามระเบียบอย่างเคร่งครัด โดยให้เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์เขตเป็นผู้ตรวจประเมิน
ทั้งนี้ ได้ขอให้ศูนย์ สถานีที่มีการเลี้ยงสัตว์ปรับปรุงระบบความปลอดภัยทางชีวภาพของตน และเข้าระบบมาตรฐานการเลี้ยงสัตว์ เพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่เกษตรกรรายย่อย
– โรคปากและเท้าเปื่อย รองอธิบดีได้มอบหมายให้ปศุสัตว์เขตจัด “สามแพร่งโมเดล” ฉีดวัคซีนควบคุมโรคเพื่อให้ภูมิคุ้มกันขึ้นสูง ในพื้นที่รอยต่อระหว่างกาญจนบุรี ราชบุรี และนครปฐม โดยให้ฉีดอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ด่านกักกันสัตว์เข้มงวดการเคลื่อนย้าย และพื้นที่ปลายทางให้เข้มงวดในการตรวจรับสัตว์ปลายทาง
– เร่งรัดการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันโรคคอบวม ให้ครอบคลุมสัตว์ในพื้นที่ โดยเฉพาะในกระบือ
– มาตรการดำเนินงานป้องกัน ควบคุมโรคพิษสุนัขบ้า 3+1 โดยเน้นที่การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ผู้เลี้ยงสัตว์ เร่งรัดการจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคของท้องถิ่น และเน้นย้ำให้มีกระบวนการตัดสินใจระดับพื้นที่ หรือประชาคม ทุกครั้งที่พบการระบาดของโรค เพื่อเป็นการควบคุมพาหะนำโรคได้อย่างยั่งยืน