คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผย 3 เงื่อนไขทางธรรมชาติพิจารณาว่าน้ำจะท่วมกรุงเทพฯ หรือไม่ เชื่อขณะนี้ กทม. ยังเอาอยู่ เหตุปริมาณน้ำฝนในพื้นที่-น้ำหลาก-น้ำทะเลหนุน ยังใกล้เคียงค่าเฉลี่ย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อาสาฬห์ สุวรรณฤทธิ์ คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวถึงความกังวลต่อสถานการณ์น้ำของคนกรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่า ตัวชี้วัดที่จะบอกว่า กทม. จะน้ำท่วมหรือไม่ มีอยู่ด้วยกัน 3 เรื่อง ได้แก่ 1. ปริมาณน้ำฝนในพื้นที่ 2. ปริมาณน้ำหลากจากภาคกลางตอนบน 3. น้ำทะเลหนุน ซึ่งปัจจุบันปริมาณน้ำฝนยังอยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยปกติ ปริมาณน้ำหลากยังไม่ได้มีมากเท่าปี 2554 และน้ำทะเลหนุนก็ยังไม่ใช่จังหวะที่จะสร้างผลกระทบรุนแรงแต่อย่างใด
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อาสาฬห์ กล่าวว่า แม้ว่าขณะนี้จะเป็นฤดูฝน มีฝนตกแทบทุกวัน แต่เมื่อพิจารณาจากสถิติของสำนักงานระบายน้ำ กทม. ล่าสุดพบว่าฝนในเดือนกันยายนยังตกน้อยว่าค่าเฉลี่ยคาบ 30 ปี ส่วนระดับน้ำในคลองที่อยู่ในพื้นที่คันกั้นน้ำของ กทม. ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ ขณะที่น้ำในคลองนอกคันกั้นน้ำในบางจุดมีสูงขึ้นมาบ้างในระดับเตือนภัย เช่น ฝั่งตะวันออกบางจุดของ กทม. ซึ่งตรงนี้สะท้อนว่ากำลังมีการบริหารจัดการน้ำในระดับภูมิภาคในลุ่มน้ำภาคกลางอยู่
สำหรับปริมาณน้ำหลาก แม้ว่าช่วงนี้จะมีน้ำท่วมทางภาคเหนือ และภาคกลางตอนบน แต่ปริมาณน้ำยังไม่มากเท่ากับปี 2554 อัตราการไหลของน้ำที่สถานีแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ในเดือนกันยายน ช่วงปี 2554 มีอัตรากว่า 4,335 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 2,400 พันล้านลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ถือว่าน้อยกว่าอยู่มาก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าช่วงเดือนตุลาคม น้ำจะยังน้อยเหมือนตอนนี้ คงต้องจับตาดูกันต่อไป
ในส่วนของปัจจัยน้ำทะเลหนุน หรือการขึ้นลงของน้ำทะเลในอ่าวไทย ณ ตอนนี้ก็ยังไม่ใช่ปัจจัยที่มีผลรุนแรง เนื่องจากช่วงที่น้ำทะเลหนุนสูงจะเป็นช่วงปลายปีใกล้วันลอยกระทง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อาสาฬห์ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตามความเสี่ยงของปี 2564 ไม่ใช่ปัจจัยทางธรรมชาติเรื่องน้ำอย่างเดียว ยังมีปัจจัยเรื่องของการใช้ประโยชน์ที่ดิน การปรับเปลี่ยนผังเมืองควบคู่ไปกับยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำ ซึ่งถือเป็นตัวแปรสำคัญ เนื่องจาก 10 ปีที่ผ่านมา การพัฒนาเมืองขยายตัวเพิ่มขึ้น มีการพัฒนาแถบชานเมือง เห็นได้ชัดในโซน ปทุมธานี กิ่งแก้ว บางใหญ่ ทำให้พื้นที่รองรับน้ำได้เองตามธรรมชาติ เช่น ทุ่งหญ้า หนองน้ำ เกษตรกรรม หายไป พื้นที่ชานเมืองที่มีการพัฒนาตัดถนน พื้นที่พัฒนาเมือง หมู่บ้านจัดสรร เสี่ยงน้ำท่วมขังง่ายขึ้น นานขึ้น เสี่ยงที่น้ำจะท่วมขังเพราะน้ำไม่มีทางไหลไปไหน
“ระหว่างนี้ถ้าไม่มีพายุเข้ามาเติมน้ำทางภาคเหนือและภาคกลางตอนบน ก็คาดว่าสถานการณ์จะไม่รุนแรงเท่ากับปี 2554 แต่ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าเดือนตุลาคมสถานการณ์จะเป็นอย่างไร คงต้องจับตาดูพายุที่จะเข้ามาต่อไป สำหรับเขตพื้นที่ กทม. เชื่อว่าจะยังพอควบคุมได้ เพราะยังไง กทม.ก็มีระบบป้องกันน้ำหลาก ที่ออกแบบไว้พอสมควร ฉะนั้นความเสี่ยงเดียวที่ กทม.จะท่วมก็คือบริหารจัดการไม่ดี แต่ก็เป็นเพียงการท่วมขังหรือที่มักเรียกกันว่าน้ำรอระบาย ซึ่งเกิดจากระบบระบายน้ำไม่ได้บำรุงรักษา มีขยะไปอุดตัด ทำให้น้ำไหลช้า เป็นคำถามว่าตอนนี้ กทม.รับมือกับเรื่องการจัดการระบบระบายน้ำพื้นฐานยังไง ขุดลอกคลองบ้างหรือเปล่า หรือว่าดูแลความสะอาดท่อบ้างหรือไม่ มีการเตรียมพื้นที่หน่วงน้ำอย่างไร” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อาสาฬห์ กล่าว