วันที่ 20 เมษายน 2561 นายพีระพัฒน์ อิงพงษ์พันธ์ ผู้อำนวยการกองคดี 1 รองโฆษกประจำสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ส่งมอบเงินของผู้เสียหายบางส่วนที่สามารถยับยั้งการถอนของมิจฉาชีพได้ จำนวนเงิน 485,475.86 บาท มอบแด่พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะได้ดำเนินการบรรเทาความเสียหายให้กับประชาชน 5 ราย ที่ได้รับความเดือดร้อน
ซึ่งก่อนหน้าได้ส่งมอบเงินของผู้เสียหายที่สามารถยับยั้งการถอนจากมิจฉาชีพแล้ว จำนวน 60 ราย รวมเป็นเงิน 9,933,306.18 บาท และในวันนี้ (20 เม.ย.61) ได้ส่งมอบเงินของผู้เสียหายที่สามารถยับยั้งการถอนจากมิจฉาชีพ จำนวน 5 ราย จำนวนเงิน 485,475.86 บาท รวมส่งมอบเงินคืนผู้เสียหายไปแล้วทั้งสิ้น 65 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 10,418,782.04 บาท
สำหรับสถิติการเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตั้งแต่การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงาน ปปง. มีผู้แจ้งผ่านสายด่วน ปปง. 1710 ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 จนถึงปัจจุบัน (19 เม.ย.61) มีผู้เสียหายหลงเชื่อและโอนเงิน จำนวน 342 ราย เหตุเกิดแล้วรีบแจ้ง 182 ราย เหตุเกิดแล้วแจ้งภายหลัง 160 ราย รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 142,815,110.89 บาท สามารถยับยั้งและช่วยเหลือได้จำนวน 81 ราย มูลค่ารวม 35,312,056.07 บาท
นายพีระพัฒน์ อิงพงษ์พันธ์ ผู้อำนวยการกองคดี 1 กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอแจ้งเตือนประชาชน ขณะนี้มิจฉาชีพใช้รูปแบบการหลอกลวงแบบใหม่ๆ ที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ทำให้การตรวจสอบเส้นทางการเงินยากขึ้นด้วย และใช้ระยะเวลานานกว่าปกติ จึงขอให้ประชาชนรับฟังการประชาสัมพันธ์จากหน่วยงานของรัฐ และอย่าหลงเชื่อ ฝากแจ้งเตือนบุคคลใกล้ชิด ซึ่งในอนาคตก็อาจมีการเปลี่ยนรูปแบบใหม่ไปเรื่อยๆ โปรดวางสายทันที เพราะสุดท้ายแล้วมิจฉาชีพต้องการให้ท่านโอนเงิน หรือนำเงินออกจากบัญชีของท่าน และสิ่งสำคัญที่สุดคือ “การเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล ไม่แจ้งกับใครทางโทรศัพท์ โดยเฉพาะเลขที่บัตรประชาชน วันเดือนปีเกิด หมายเลขบัญชีเงินฝาก หมายเลขบัตรเครดิต” ทุกอย่างที่เป็นข้อมูลทางการเงิน เพื่อป้องกันมิจฉาชีพใช้บัญชีของประชาชนเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดอีกต่อไป และหากถูกหลอกแล้วให้รีบโทรแจ้ง สายด่วน ปปง. 1710 ซึ่งเปิดทำการทุกวันโดยไม่เว้นวันหยุดราชการ