กรมชลประทาน ระดมกำลังเจ้าหน้าที่เตรียมพร้อมรับพายุโซนร้อน “ปาบึก” คาดว่าจะเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งที่ จ.นครศรีธรรมราช ในคืนพรุ่งนี้(4 ม.ค. 62) เตรียมพร้อมเครื่องสูบน้ำ เครื่องจักร และเครื่องมือต่างๆ รับมือเต็มพิกัด
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า จากประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยาที่ระบุว่าทิศทางเคลื่อนตัวของพายุจะปรับลงกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิมเล็กน้อย จากที่ประเมินว่าจะขึ้นฝั่งอ่าวไทยบริเวณรอยต่อจังหวัดชุมพรและสุราษฎร์ธานี ขณะนี้คาดการณ์ว่าจะขึ้นฝั่งที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ในตอนค่ำวันพรุ่งนี้(4 ม.ค. 62) กรมชลประทานได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์อย่างเต็มที่ เนื่องจากได้วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว แม้ว่าทิศทางการเคลื่อนตัวของพายุจะขยับไปขึ้นฝั่งที่จังหวัดใดก็ตาม
สำหรับที่จังหวัดนครศรีธรรมราชมีพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยและดินโคลนถล่ม 95 แห่ง มีพื้นที่เฝ้าระวังในความรับผิดชอบของกรมชลประทาน 6 จุด ในเขตอำเภอเชียรใหญ่ อำเภอชะอวด พื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังตอนล่าง อำเภอ ร่อนพิบูลย์ อำเภอหัวไทร อำเภอเฉลิมพระเกียรติ และอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ส่วนพื้นที่เตือนภัยน้ำหลาก-ดินถล่ม ของกรมทรัพยากรน้ำรับผิดชอบมี 51 แห่ง ใน 188 หมู่บ้านได้แก่ ในอำเภอลานสกา 4 แห่ง อำเภอฉวาง 5 แห่ง อำเภอท่าศาลา 2 แห่ง อำเภอพิปูน 7 แห่ง อำเภอพรหมคีรี 2 แห่ง อำเภอสิชล 2 แห่ง อำเภอร่อนพิบูลย์ 3 แห่ง อำเภอบางขัน 4 แห่ง อำเภอนบพิตำ 3 แห่ง อำเภอจุฬาภรณ์ 1 แห่ง อำเภอทุ่งสง 5 แห่ง อำเภอขนอม 2 แห่ง อำเภอช้างกลาง 2 แห่ง และอำเภอเมือง 1 แห่ง นอกจากนี้ ยังมีที่เสี่ยงน้ำหลาก-ดินถล่ม ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมป้องกันและบรรเทา- สาธารณภัย(ปภ.)อีก 29 แห่ง แยกเป็นพื้นที่เสี่ยงน้ำหลาก ได้แก่ อำเภอชะอวด 10 แห่ง อำเภอบางขัน 2 แห่ง อำเภอหัวไทร 4 แห่ง อำเภอเชียรใหญ่ 1 แห่ง อำเภอจุฬาภรณ์ 2 แห่ง อำเภอช้างกลาง 1 แห่ง อำเภอทุ่งสง 3 แห่ง และอำเภอร่อนพิบูลย์ 2 แห่ง ส่วนพื้นที่เสี่ยงดินโคลนถล่มมี 6 แห่ง ในเขตอำเภอร่อนพิบูลย์ อำเภอทุ่งสง อำเภอช้างกลาง อำเภอลานสกา อำเภอนบพิตำ และอำเภอสิชล
ดร.ทองเปลวฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นจุดพักหลักของเครื่องจักรกล ที่มีทั้งเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ เครื่องผลักดันน้ำ รถขุด รถแทรกเตอร์ รถบรรทุก และเครื่องจักร-เครื่องมืออื่นๆ เตรียมไว้เป็นจำนวนมาก ขณะนี้ได้นำเครื่องสูบน้ำไปติดตั้งตามพื้นที่ลุ่มต่ำ พร้อมกับนำเครื่องผลักดันน้ำไปติดตั้งในลำน้ำ เพื่อเร่งพร่องน้ำในลำน้ำต่างๆ แล้ว นอกจากนี้ ยังได้กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำไว้ล่วงหน้าแล้ว ทั้งการขุดลอกขยายทางน้ำ การทำคลองลัดเพื่อเร่งระบายน้ำออกทะเล ซึ่งจะทำให้ลำน้ำต่างๆ มีพื้นที่รองรับน้ำจากฝนที่จะตกหนักได้มากขึ้น ส่วนในอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กและขนาดกลางได้มีการพร่องน้ำไว้แล้วเช่นกัน”
สำหรับพื้นที่เขตเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นเขตชุมชนและเขตเศรษฐกิจสำคัญ นั้น กรมชลประทานได้เร่งดำเนินโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา- ภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร ทรงพระราชทานแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเอาไว้ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่ระหว่างเทือกเขาหลวงและอ่าวไทย มีลักษณะพื้นที่ทอดยาวขวางทิศทางการไหลของน้ำ เมื่อเกิดฝนตกหนักบริเวณเทือกเขาน้ำจะไหลผ่านเมืองลงทะเล แต่ระบบการระบายน้ำผ่านคลองท่าดีลงสู่คลองท่าชัก และคลองท่าเรือออกสู่ทะเล มีขีดจำกัดในการระบายได้เพียง 268 ลบ.ม./วินาที แต่มีปริมาณน้ำที่ต้องระบายถึง 750 ลบ.ม./วินาที อีกทั้งมีสิ่งกีดขวางทางน้ำ ทำให้น้ำเอ่อท่วมพื้นที่ เกิดอุทกภัยซ้ำซาก ส่งผลกระทบอย่างมากต่อชุมชนและเศรษฐกิจของเมืองนครศรีธรรมราช
กรมชลประทาน ได้ทำการศึกษาความเหมาะสมในการแก้ไขและบรรเทาปัญหาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราช แล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2545 โดยจะครอบคลุมทั้งในและนอกเขตเทศบาลนครนครศรีธรรมราชอย่างเป็นระบบ มีแผนการปรับปรุงระบบระบายน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ด้วยการขุดคลองผันน้ำใหม่ จำนวน 3 สาย ความยาวประมาณ 18 กิโลเมตร พร้อมกับขุดขยายคลองเดิมคือ คลองวังวัว ความยาวประมาณ 5.90 กิโลเมตร และคลองท่าเรือ- หัวตรุด ความยาวประมาณ 11.90 กิโลเมตร นอกจากนี้ ยังมีการก่อสร้างประตูระบายน้ำอีก 7 แห่ง ซึ่งใช้ระยะเวลาในการก่อสร้าง 3 ปี (2561-2563)
ปัจจุบันกรมชลประทานได้ดำเนินการเข้าไปปักหลักเขตชลประทานในส่วนของคลองระบายน้ำสาย 3 คลองระบายน้ำหัวตรุด-ท่าเรือ คลองระบายน้ำคลองวังวัว คลองระบายน้ำสาย 2 และคลองระบายน้ำสาย 1(บางส่วน) เสร็จเรียบร้อยแล้ว และเริ่มงานก่อสร้างในส่วนของคลองระบายน้ำท่าเรือ- หัวตรุด งานเพิ่มประสิทธิภาพคลองท่าเรือ- หัวตรุด และงานก่อสร้างคลองระบายสาย 3 ช่วง กม.1+000-3+990 หากโครงการฯแล้วเสร็จจะสามารถบรรเทาอุทกภัยในเขตเทศบาลนคร-นครศรีธรรมราช ช่วยลดพื้นที่น้ำท่วมได้ร้อยละ 90 ครอบคลุมพื้นที่ 12 ตำบล ในเขตเทศบาลนครนครศรีธรรมราชและพื้นที่ใกล้เคียง มีครัวเรือนได้รับประโยชน์ 32,253 ครัวเรือน ทั้งยังสามารถเก็บกักน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งได้ประมาณ 5.5 ล้าน ลบ.ม. และมีพื้นที่การเกษตรได้รับผลประโยชน์ประมาณ 17,400 ไร่
********************************************
ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ
กรมชลประทาน