นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการ ตามนโยบายของรัฐบาลในการช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนและกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลให้ความสนใจในการดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อย ซึ่งที่ผ่านมา จัดมาแล้ว 4 ครั้ง ในปี 2557, 2558, 2559 และ 2560 มียอดขายประมาณ 30,000 – 50,000 ล้านบาท โดยในครั้งนี้กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับภาคเอกชน จัดมหกรรมลดราคาสินค้าภายใต้ชื่องาน “ลดหนักจัดเต็ม New Year Grand Sale” เพื่อลดราคาจำหน่ายสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม หมวดของใช้ประจำวัน หมวดเครื่องครัว หมวดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า หมวดวัสดุก่อสร้าง ในทุกสาขาทั่วประเทศ ในระหว่างวันที่ 13 ธันวาคม 2561 – 9 มกราคม 2562 รวมระยะเวลา 28 วัน ลดราคาจำหน่ายสูงสุดร้อยละ 80
ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐโดยกระทรวงพาณิชย์ร่วมมือกับภาคเอกชนจำนวน 34 ราย ประกอบด้วย สมาคม จำนวน 2 สมาคมสมาคมผู้ค้าปลีกไทย และสมาคมการค้าส่ง – ปลีกไทย ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ ในเบื้องต้นจำนวน 14 ราย ได้แก่ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน), บริษัท ยูนิลีเวอร์ไทย เทรดดิ้ง จำกัด, บริษัท ไทยรุ่งเรืองอุตาสาหกรรม จำกัด, บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท เบอลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน), บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน), บริษัท ข้าวแสนดี จำกัด, บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท ซีพี อินเตอร์เทรด จำกัด, บริษัท คอลเกต-ปาล์มโอลีฟ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด, บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท กรีนสปอต จำกัด, บริษัท ดัชมิลล์ จำกัด ห้างค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ และห้างสรรพสินค้าท้องถิ่น จำนวน 18 ราย ทุกสาขากว่า 15,300 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน), บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด, บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด (มหาชน), บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด, บริษัท สรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง จำกัด, บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด, บริษัท ฟู้ดแลนด์ซุปเปอร์มาร์เก็ต จำกัด, บริษัท เซ็นทรัลแฟมิลี่มาร์ท จำกัด, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน), บริษัท สหลอว์สัน จำกัด, บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด, บริษัท อิออน (ไทยแลนด์) จำกัด, บริษัท ซี.เจ.เอ็กเพรส กรุ๊ป จำกัด, บริษัท บางจาก รีเทล จำกัด, บริษัท ทวีกิจซุปเปอร์ เซ็นเตอร์ จำกัด, ซุปเปอร์ชีป จำกัด และบริษัท เอกภาพซุปเปอร์ซัพพลาย จำกัด
ทั้งนี้ คาดว่าตลอดงานจะมียอดขายประมาณ 55,000 ล้านบาท สามารถช่วยลดภาระค่าครองชีพ ประชาชนได้เฉลี่ยร้อยละ 30 หรือคิดเป็นเงินประมาณ 16,500 ล้านบาท ทำให้ประชาชนสามารถซื้อสินค้าในปริมาณมากขึ้นหรือซื้อสินค้าในปริมาณเท่าเดิม แต่ใช้จ่ายเงินลดลง และทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้นเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น อย่างมีเสถียรภาพอีกด้วย
รวมทั้ง กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน ได้จัดกิจกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาคในจังหวัดภาคเหนือและภาคกลาง เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนอีก 4 จังหวัด ได้แก่ จ.นครสวรรค์ วันที่ 9 – 10 ธันวาคม 2561, จ.สิงห์บุรี วันที่ 18 – 21 ธันวาคม 2561, กระทรวงพาณิชย์ จ.นนทบุรี วันที่ 24 – 27 ธันวาคม 2561 และ จ.สุพรรณบุรี วันที่ 4 – 7 มกราคม 2562 ส่วนแผนการจัดงานที่เหลืออีก 15 จังหวัด ในพื้นที่ภาคกลาง 4 จังหวัด ภาคใต้ 6 จังหวัด และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 จังหวัด จะจัดในระยะต่อไป
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการขับเคลื่อนโครงการธงฟ้าประชารัฐ โดยร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมการค้าภายใน, บริษัท ออลล์ ดิสเคาท์ จำกัด, บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน), ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน), ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย, บริษัท เอสซีบี อบาคัส จำกัด, บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และบริษัทไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือ ในการส่งเสริมและสนับสนุน ร้านธงฟ้าประชารัฐที่มีทั่วประเทศกว่า 60,000 แห่ง ให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมาจาก 4 แกนหลักที่เป็นโมเดลพัฒนาเครือข่ายร้านธงฟ้าประชารัฐ 4.0 ได้แก่ การลดต้นทุน การเพิ่มรายได้การเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้า และเสริมสภาพคล่องให้มีเงินทุนหมุนเวียนในการต่อยอดการพัฒนา จึงจัดให้มีการลงนามความร่วมมือยกระดับการพัฒนา “โครงการธงฟ้าประชารัฐ 4.0” เพื่อให้ร้านธงฟ้าประชารัฐ มีสินค้าและบริการที่ครบถ้วนทันสมัย สามารถแข่งขันกับห้างค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ
โดยกระทรวงพาณิชย์ ได้ร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตร ดังนี้ บริษัท ออลล์ ดิสเคาท์ จำกัด เป็นหลักในการประสานงานกับภาคีเครือข่าย รับออร์เดอร์สินค้าจากร้านค้าประชารัฐทั่วประเทศ จัดซื้อสินค้าราคาพิเศษมาจากผู้ผลิตมาจำหน่ายและจัดส่งให้ร้านธงฟ้าประชารัฐทั่วประเทศ จะสามารถลดต้นทุนสินค้า ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ซึ่งในเบื้องต้นคัดเลือก 100 ร้านค้า ในกรุงเทพมหานครเป็นร้านต้นแบบ ตกแต่งร้านธงฟ้าประชารัฐให้มีความทันสมัยให้เป็นที่นิยมเช่นเดียวกับร้านสะดวกซื้อยักษ์ใหญ่ พร้อมทั้งช่วยบริหารจัดการคลังสินค้าทำการตลาด ประชาสัมพันธ์ และเป็นที่ปรึกษาให้แก่ร้านธงฟ้าประชารัฐอีกด้วย บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เข้ามาช่วยวางระบบโครงข่ายเชื่อมต่อผ่านอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงทั้งรูปแบบใยแก้วนำแสง และ 4G และพัฒนาระบบบริหารจัดการ จุดขายและจุดชำระเงิน พร้อมทั้งเพิ่มบริการและสินค้า อาทิ ระบบเติมเงินโทรศัพท์มือถือ ระบบชำระค่าสาธารณูปโภค พร้อมให้เงื่อนไขพิเศษแก่ร้านค้า ธงฟ้าประชารัฐที่เข้าร่วมโครงการฯ และอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในทุกพื้นที่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME Development Bank ร่วมสนับสนุนสินเชื่อ ผ่านโครงการประชารัฐเสริมแกร่งการค้าสู่ชุมชน สินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษวงเงินรวม 10,000 ล้านบาท ให้กับร้านธงฟ้าประชารัฐเพื่อขยายกิจการ หรือสำหรับเป็นทุนหมุนเวียนซื้อสินค้า ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ร่วมมอบสินเชื่อเตรียมพร้อมเพิ่มวงเงินหมุนเวียนให้กับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ พร้อมการนำแพลตฟอร์มการปล่อยสินเชื่อออนไลน์มาใช้ เพื่อความรวดเร็วในการอนุมัติสินเชื่อ โดยการพัฒนาจากบริษัท เอสซีบี อบาคัส จำกัด บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และบริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด ร่วมพัฒนาและให้บริการระบบโลจิสติกส์ต่อยอดการให้บริการของไปรษณีย์ไทย ให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น เพิ่มศักยภาพให้บริการขนส่งและกระจายสินค้า รวมทั้งบริหารจัดการคลังสินค้าครบวงจร และเป็นกลไกในการพัฒนาด้านการขนส่งของภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพและยังเป็นหน่วยงานกลางในการส่งสินค้าจากผู้ผลิตภาคการเกษตร สินค้าชุมชน และสินค้า OTOP ตรงสู่ผู้บริโภคอีกด้วย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะสามารถยกระดับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐให้มีศักยภาพในการแข่งขันกับร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ได้ เพิ่มรายได้และสภาพคล่องให้ร้านธงฟ้าประชารัฐ รวมทั้งเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าการเกษตร/เกษตรแปรรูป สินค้าชุมชน และสินค้า OTOP ของเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร และสหกรณ์การเกษตรผ่านร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ซึ่งจะทำให้ร้านธงฟ้าประชารัฐมีสินค้าและบริการครบถ้วน มีความสะดวก ทันสมัยและเป็นที่ต้องการของ พี่น้องประชาชน