แพทย์ผิวหนังเตือนยาคุมกำเนิดบดใส่แชมพูไม่สามารถช่วยรักษาโรคผมร่วง ผมบางได้

กรมการแพทย์  โดยสถาบันโรคผิวหนัง  เตือนไม่แนะนำให้ใช้ยาคุมกำเนิดบดใส่แชมพูเอามาสระผม หรือทาหนังศีรษะเพื่อหวังผลในการรักษาโรคผมร่วง ผมบาง  และหวังเร่งผมให้ยาวเร็วขึ้น  เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ว่าใช้ได้ผล  สำหรับผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง  แนะนำปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้อง

นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช  รองอธิบดีกรมการแพทย์และโฆษกกรมการแพทย์  เปิดเผยว่า  ตามที่มีข่าวเผยแพร่ใน Social ว่า ถ้าอยากเร่งให้ผมยาวหรือแก้ผมร่วง ให้เอายาคุมกำเนิดมาบดใส่แชมพูแล้วเอามาสระผมนั้น ขอเรียนว่า  ยาคุมกำเนิดแบบเม็ดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ ชนิดฮอร์โมนรวม ซึ่งประกอบด้วยฮอร์โมน2 ชนิดคือ เอสโตรเจน (estrogen) และโปรเจสติน (progestin) ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีคุณสมบัติยับยั้งการตกไข่,ยับยั้งการสร้างฮอร์โมนแอนโดรเจนและลดฮอร์โมนเพศชายที่ทำให้เกิดภาวะผมบางจากพันธุกรรม  ส่วนฮอร์โมนโปรเจสตินมีคุณสมบัติยับยั้งฮอร์โมนแอนโดรเจนที่ทำให้เกิดภาวะผมบางจากพันธุกรรมเช่นกัน ปกติยาคุมกำเนิดจะดูดซึมทางระบบอาหาร ไม่มีรายงานทางการแพทย์ว่าดูดซึมทางหนังศีรษะ การนำยาคุมกำเนิดไปใช้ผิดวิธีจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี

แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์  ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า  โรคผมบางจากพันธุกรรมเกิดจากหลายปัจจัย ไม่ใช่จากปัจจัยฮอร์โมนแอนโดรเจนอย่างเดียว เช่นปัจจัยทางพันธุกรรมรวมถึงปัจจัยอื่นๆ ที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ด้วยเหตุนี้  การรักษาด้วยการใช้ยาทาหรือยารับประทานที่ต้านฮอร์โมนแอนโดรเจนอาจจะไม่ได้ผลในผู้หญิง สำหรับผู้ชายไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิดในการรักษาเพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น มีเต้านมขนาดใหญ่ขึ้น พบว่าจากหลักฐานการศึกษาทางการแพทย์ มีการใช้ยาทาเอสโตรเจนในผู้ป่วยหญิงที่มีภาวะผมบางจากพันธุกรรม แต่ไม่ได้ทำให้ผมขึ้นมากขึ้น นอกจากนี้การใช้ยาคุมกำเนิดบดผสมในแชมพูอาจมีการดูดซึมที่หนังศีรษะได้ไม่ดีเท่ากับการทายา แต่กลับจะทำให้ปริมาณยาคุมกำเนิดลดลงพร้อมกับแชมพูสัมผัสหนังศีรษะในระยะเวลาจำกัดก่อนที่จะถูกล้างออก  ดังนั้นการดูดซึมจึงน้อยกว่าการทายาหรือการรับประทานยา ประสิทธิภาพในการต้านฮอร์โมนแอนโดรเจนลดลง

ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง  กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า  การศึกษาทางการแพทย์ที่พบว่ายาต้านฮอร์โมนแอนโดรเจนชนิดอื่นนอกเหนือจากยาคุมกำเนิด อาจใช้ได้ผลในผู้ป่วยหญิงบางรายที่มีโรคผมบางทางพันธุกรรม ได้แก่ spironolactone, finasteride, dutasteride, flutamide แต่ยารับประทานเหล่านี้ยังไม่ได้รับการจัดให้อยู่ในมาตรฐานการรักษาและห้ามใช้ในหญิงวัยเจริญพันธุ์ที่มีโอกาสจะตั้งครรภ์ เพราะจะเป็นอันตรายแก่ทารกในครรภ์ได้  จากหลักฐานการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างผู้ที่รับประทานยา spironolactone อย่างเดียวหรือรับประทานยา spironolactone ร่วมกับยาคุมกำเนิด ผลการศึกษาไม่พบว่าการรับประทานยาคุมกำเนิดช่วยให้ผมขึ้นมากขึ้น  สำหรับผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง แนะนำปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้อง จะดีกว่าการทำตามความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง

………………………………….

#กรมการแพทย์แพทย์ #สถาบันโรคผิวหนัง #แพทย์ผิวหนังเตือนยาคุมกำเนิดบดใส่แชมพูไม่สามารถช่วยรักษาโรคผมร่วง ผมบางได้