นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า “กุ้งก้ามกราม” ถือเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย เกษตรกรมีการเพาะเลี้ยงกันอย่างแพร่หลายในจังหวัดต่าง ๆ เช่น ราชบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ฉะเชิงเทรา ชลบุรี กาฬสินธุ์ และเชียงราย เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีนโยบายส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มตามโครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกรามรายย่อยได้รวมกลุ่มในการบริหารจัดการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตอย่างครบวงจร รวมถึงเชื่อมโยงสินค้าสู่ตลาดเสริมสร้างความยั่งยืนในการประกอบอาชีพ นอกจากนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกุ้งก้ามกรามให้ได้ 40,000 ตัน ภายในปี 2565 กรมประมงจึงได้จัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนากุ้งก้ามกราม (พ.ศ. 2562-2565) สำหรับวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตกุ้งก้ามกรามตลอดห่วงโซ่อุปทานให้มีขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งพัฒนาช่องทางการตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ โดยแบ่งประเด็นยุทธศาสตร์การดำเนินงานออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่
- ด้านการวิจัยและพัฒนา
- ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
- ด้านการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกร
- ด้านการตลาด เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนการพัฒนาการเพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกรามอย่างครบวงจรโดยมีเป้าหมายและทิศทางที่ชัดเจน
นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด กล่าวเพิ่มเติมว่า ล่าสุดในปีงบประมาณ 2564 กรมประมงได้ร่วมหารือกับกลุ่มเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกราม และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางในการผลักดันเพิ่มผลผลิตให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือ 40,000 ตัน/ปี จากปัจจุบันที่ทำผลผลิตได้ 31,838 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 7,900 ล้านบาท พร้อมเตรียมขยายฐานการตลาด เพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้นทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ เช่น การจัดทำ Platform ซื้อขายผลผลิตกุ้งก้ามกราม การจัดทำแบรนด์สินค้ากุ้งก้ามกรามไทย การจัดมหกรรมสินค้าเกษตรแปลงใหญ่ และการจัดทำคลัสเตอร์การส่งออกกุ้งก้ามกรามเพื่อบริโภคทั้งชนิดแช่เย็นและแช่แข็ง โดยเน้นเปิดตลาดไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน เนื่องจากเป็นตลาดที่มีกลุ่มผู้บริโภคขนาดใหญ่และมีกำลังซื้อสูง ซึ่งขณะนี้กรมประมงได้ปูแนวทางส่งเสริมและพัฒนาการเพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกรามเพื่อรองรับตลาดด้วยการยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดีสำหรับการผลิตสัตว์น้ำ หรือ GAP (Good Aquaculture Practice) โดยนำร่องในโรงเพาะฟักจำนวน 200 แห่ง ในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และสุพรรณบุรี และในฟาร์มเพาะเลี้ยงจำนวน 400 แห่ง ใน 4 จังหวัด ที่เป็นแหล่งเลี้ยงกุ้งก้ามกรามที่สำคัญของประเทศ ได้แก่ ราชบุรี นครปฐม ฉะเชิงเทรา และสุพรรณบุรี อีกทั้งยังได้พัฒนาระบบความปลอดภัยทางชีวภาพของฟาร์มกุ้งก้ามกราม ส่งเสริมการเลี้ยงกุ้งก้ามกรามในบ่อดิน เฝ้าระวังโรคกุ้งก้ามกราม และปรับปรุงการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ทบ.1) โดยจะทำการสำรวจข้อมูลใหม่ในทุกจังหวัด
อธิบดีกรมประมง กล่าวในตอนท้ายว่า เชื่อมั่นว่าในอนาคตประเทศไทยจะสามารถพัฒนาศักยภาพในการผลิตกุ้งก้ามกรามที่มีประสิทธิภาพและเป็นฐานการผลิตกุ้งก้ามกรามเพื่อการส่งออกของโลกได้ โดยภาครัฐพร้อมที่สนับสนุนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อสร้างความมั่นคงในการประกอบอาชีพให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการอย่างยั่งยืนต่อไป