พม. เผยรายงานการค้ามนุษย์ของสหรัฐฯ ประจำปี 2563 จัดประเทศไทยอยู่ในระดับ 2 (Tier 2) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3

วันที่ 1 ก.ค. 63 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาวถนนกรุงเกษม กรุงเทพมหานคร

นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยว่า วันที่ 26 มิถุนายน 2563 (ตามเวลาในประเทศไทย) กระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่รายงานการค้ามนุษย์ หรือ Trafficking in Persons Report ประจำปี 2563 (TIP Report 2020) โดยจัดระดับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวม 187 ประเทศ

ทั้งนี้ ได้จัดระดับประเทศไทยอยู่ในระดับ 2 (Tier 2) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เช่นเดียวกับปี 2561 และ 2562 เนื่องจากรัฐบาลไทยยังคงเพิ่มความพยายามอย่างสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์โดยรวมต่อเนื่อง

นายปรเมธี กล่าวว่าในปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยและทุกภาคส่วนได้ร่วมกันดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยมีผลการดำเนินงานสำคัญในรายงานดังกล่าว สรุปได้ดังนี้

1) ด้านดำเนินคดีและบังคับใช้กฎหมาย โดยออก พ.ร.ก. แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 พ.ศ. 2562 เพื่อกำหนดลักษณะความผิดและอัตราโทษฐานบังคับใช้แรงงานหรือบริการ การประชุมทวิภาคีเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล/รวบรวมพยานหลักฐานในคดีค้ามนุษย์ การยอมรับคำให้การล่วงหน้าและคำให้การทางวีดิทัศน์เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการพิจารณาคดีของศาล การทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของรัฐ NGOs และองค์กรภาคประชาสังคม

2) ด้านการคุ้มครองช่วยเหลือ โดยพัฒนาแบบคัดแยกสำหรับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และผู้เสียหายจากการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ เปิดศูนย์คุ้มครองเด็กเพิ่ม รวมจำนวน 7 แห่ง เพื่อการจัดบริการที่เป็นมิตรสำหรับเด็ก เยียวยาผู้เสียหายจากเงินกองทุนฯ จำนวน 11.88 ล้านบาท และผู้เสียหายได้รับค่าสินไหมทดแทน ตามการพิพากษาของศาล จำนวน 3.33 ล้านบาท การพัฒนา Mobile Application “Protect-U” สำหรับผู้เสียหายและพยาน เพื่อขอรับการช่วยเหลือคุ้มครอง และ

3) ด้านการป้องกัน สร้างความตระหนักรู้ให้กับนักเรียน ครู ผู้นำชุมชนจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ข้อบ่งชี้การค้ามนุษย์ ช่องทางแจ้งเบาะแส เผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ และบนเครื่องบินจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นระหว่างภาครัฐ NGOs และองค์การระหว่างประเทศ เพื่อสร้างความร่วมมือในการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ เปิดศูนย์แรกรับเข้าทำงานและสิ้นสุดการจ้าง 5 แห่ง เพื่อช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานตามระบบ MOU

นายปรเมธี กล่าวต่อไปว่า กระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐฯ มีข้อแนะนำที่สำคัญต่อการดำเนินงานของประเทศไทย เช่น พัฒนาศักยภาพของผู้บังคับใช้กฎหมาย ในการดำเนินคดีและตัดสินลงโทษผู้ค้ามนุษย์ด้านแรงงาน การคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน การสอบสวนและดำเนินคดีเชิงรุกกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ การดูแลผู้เสียหาย โดยคำนึงถึงผลกระทบจากบาดแผลทางจิตใจทั้งในสถานคุ้มครองของรัฐและเอกชน รวมถึงการช่วยเหลือทางกฎหมาย การเยียวยาจิตใจ การเพิ่มความสามารถของผู้เสียหายที่จะเดินทางเข้าออกสถานคุ้มครองและเข้าถึงเครื่องมือสื่อสารได้โดยอิสระ พัฒนาการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อคัดแยกผู้เสียหายประชากรกลุ่มเสี่ยง กลุ่มธุรกิจทางเพศ กลุ่มเด็กขอทานและขายของตามท้องถนน แรงงานต่างด้าวในภาคอุตสาหกรรม จัดหาสำเนาเอกสารสัญญาจ้างงานแก่ลูกจ้างในภาษาที่ลูกจ้างเข้าใจ สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการรายงานอาชญากรรมค้ามนุษย์ โดยไม่หวาดกลัวที่จะถูกดำเนินคดีอาญา รวมถึงการฟ้องร้องโดยนายจ้าง บังคับให้มีการจ่ายค่าแรง และกำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าธรรมเนียมการจัดหางานให้แรงงานต่างด้าว ให้สิทธิลูกจ้างครอบครองเอกสารประจำตัวและการเงินของตนเอง เป็นต้น

นายปรเมธี กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม.ในฐานะหน่วยงานประสานงานหลัก (Focal point) จะบูรณาการร่วมกับทุกหน่วยงานเพื่อป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหาย ตามหลักสิทธิมนุษยชน

ทั้งนี้ จะได้จัดประชุมคณะอนุกรรมการกำกับและติดตามการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เพื่อพิจารณาและมอบหมายเจ้าภาพหลักรับผิดชอบข้อเสนอแนะในแต่ละประเด็นสำหรับติดตามผลการดำเนินงาน รวมทั้งใช้เป็นกรอบในการจัดทำรายงานของประเทศไทย ก่อนเสนอที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ รับทราบและพิจารณาเห็นชอบแผนการดำเนินงานและเจ้าภาพหลักต่อไป

……………………………………………………