พลังงานสะอาดเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นับวันยิ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องด้วย ภาวะโลกร้อนเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากหลายภาคส่วนทั้งในประเทศและต่างประเทศ นวัตกรรมต่าง ๆ ที่พัฒนาให้เป็นทางเลือกใหม่ในการผลิตพลังงานทดแทนจึงถูกนำมาใช้มากยิ่งขึ้น และที่เห็นอย่างเด่นชัดคือ การใช้ระบบโซล่าเซลล์ (Solar Cell) ที่นำพลังงานแสงอาทิตย์มาผลิตพลังงานไฟฟ้าได้โดยไม่ปล่อยมลภาวะออกมาทำลายบรรยากาศของโลก อีกทั้งใช้แล้วไม่มีวันหมด ในประเทศไทยนั้นได้นำระบบนี้มาประยุกต์ใช้ ซึ่งจะผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับพื้นที่นั้น ๆ ว่าได้รับปริมาณแสงแดดมากหรือน้อยด้วยเช่นกัน ดังนั้นการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ทดแทนการเผาไหม้เชื้อเพลิงเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า จึงเป็นเรื่องของการรักษาสิ่งแวดล้อมโดยตรง รวมทั้งสามารถทดแทนต้นทุนทางพลังงาน และประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างยั่งยืน
เอ็ม บี เค ได้นำนวัตกรรมการผลิตพลังงานไฟฟ้าทดแทนด้วยระบบโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) มาใช้ ซึ่งเป็นการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานจากแสงอาทิตย์บนหลังคาอาคารต่าง ๆ ของธุรกิจในเครือ เอ็ม บี เค โดยเมื่อสำรวจแล้วว่าพื้นที่ดาดฟ้าของแต่ละอาคารสามารถติดตั้งระบบได้ และคำนวณการรับน้ำหนักได้เป็นอย่างดี ก็จะสามารถวางแผนผังของวงจรแผ่นรับความร้อนได้ทันที ซึ่งลักษณะของแผ่นรับความร้อนนั้น หลายคนอาจจะคุ้นตากันมาบ้าง โดยจะเป็นแผ่นวงจรเชื่อมต่อ ๆ กันหลายแผ่น เมื่อรับความร้อนจากแสงอาทิตย์มาแล้ว ก็จะแปลงความร้อนเข้าสู่ระบบเป็นพลังงานไฟฟ้า เพื่อเชื่อมสู่กระแสไฟฟ้าหลักของแต่ละสถานที่ได้ทันที นอกจากนี้ ก่อนการติดตั้งยังสามารถคำนวณกระแสไฟฟ้าที่จะผลิตได้โดยประมาณ เพื่อให้ทราบว่าจะได้กระแสไฟฟ้ามากน้อยเพียงใดอีกด้วย
การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในธุรกิจต่าง ๆ ของ เอ็ม บี เค มีการวางแผน และแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 เฟส โดยแล้วเสร็จเฟสแรกที่ศูนย์การค้าพาราไดซ์ เพลส ซึ่งมีขนาดกำลังติดตั้งที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้สูงสุดประมาณปีละประมาณ 734,000 หน่วยต่อปี สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้กว่า 528,000 บาทต่อปี และเฟส 2 เป็นโครงการที่คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2563 ได้แก่ ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ศูนย์การค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ พระราม 9 สนามกอล์ฟริเวอร์เดล กอล์ฟ คลับ สนามกอล์ฟ บางกอกกอล์ฟ คลับ และโรงแรมทินิดี โฮเทล แอท บางกอก กอล์ฟ คลับ ซึ่งเมื่อรวมทั้ง 2 เฟส จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ประมาณปีละ 2,066,000 หน่วย สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าโดยประมาณได้มากกว่า 2,454,000 บาทต่อปี และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 695 ตันต่อปี สำหรับในเฟสที่ 3 จะเป็นแผนการศึกษาความเป็นไปได้ ที่จะติดตั้งโซล่าร์รูฟท็อปให้กับธุรกิจอื่น ๆ ในเครือ เอ็ม บี เค ในปีต่อไป
เมื่อสามารถติดตั้งครบทุกสถานที่ ตามแผนงานของแต่ละธุรกิจในเครือ เอ็ม บี เค แล้วนั้น คาดว่าจะช่วยลดค่าไฟฟ้าและเกิดการประหยัดพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเป็นแรงบันดาลใจให้องค์กรอื่น ๆ สามารถนำแนวคิดนี้ไปต่อยอดกับธุรกิจของตัวเองเพื่อเป็นแรงผลักดันให้เกิดการใช้พลังงานสะอาดได้ต่อไปในอนาคต อีกทั้ง ยังเป็นการส่งเสริมการประหยัดทรัพยากรในประเทศให้เป็นไปอย่างแพร่หลาย โดยคำนึงถึงการใส่ใจสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการรักษาความสมดุลระหว่างการใช้พลังงานไฟฟ้าและการประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจได้เป็นอย่างดี