บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อยประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/2563 มีกำไรสุทธิประมาณ 574 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.7 จากไตรมาสที่ 1/2562 สาเหตุหลักมาจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 325 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1/2562 ร้อยละ 9.7
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 1/2563 บริษัทฯ ยังคงเติบโตต่อเนื่องและมีผลการดำเนินงานที่ดี มีการรับรู้รายได้เต็ม ไตรมาสจากการเข้าซื้อและเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในหลายโครงการ ได้แก่
(1)โครงการ “ลมลิกอร์” เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ในเดือนเมษายน 2562
(2) โครงการ “Nam San 3A” เข้าซื้อในเดือน กันยายน 2562
(3) โครงการโซลาร์ลอยน้ำ และติดตั้งบนพื้นดิน ภาคเอกชน “บางปะอิน” เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ในเดือนพฤศจิกายน 2562
(4) โครงการ “Nam San 3B” เข้าซื้อในเดือน กุมภาพันธ์ 2563
ทำให้ในไตรมาสที่ 1/2563 มีรายได้รวมอยู่ที่ 886 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1/2562 ร้อยละ 9.7 และ EBITDA รวมอยู่ที่ 825 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 12.8 อย่างไรก็ตาม หากคิดเป็นผลกำไรแล้ว บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 574 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 82 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.7 สาเหตุหลักมาจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 325ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีการบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 38 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 42,491 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2562 จำนวน 5,354 ล้านบาท หรือร้อยละ 14.4 สาเหตุหลักมาจากการเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ “Nam San 3B” ที่ สปป.ลาว ในปลายเดือน กุมภาพันธ์ 2563
“ผลงานไตรมาสแรกถือเป็นการเริ่มต้นปีที่ดีสำหรับบีซีพีจี สำหรับในไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ ยังคงขยายธุรกิจดิจิทัลอย่างต่อเนื่องด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรหลากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ โดยเน้นความสำคัญของการนำนวัตกรรมมาใช้ในการบริหารจัดการพลังงานสะอาดอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน บริษัทฯ ได้ดำเนินการต่อยอดเทคโนโลยีให้มีความหลากหลาย และขยายฐานธุรกิจของบริษัทฯ ไปยังประเทศต่างๆ ครอบคลุมทั่วภูมิภาคเอเชีย มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากจะทำให้รายได้ของบริษัทฯ มีเสถียรภาพมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการสร้างสมดุลของความหลากหลายของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของบริษัทฯ อีกด้วย” นายบัณฑิตกล่าวทิ้งท้าย