กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เตรียมผลักดันคลินิกการรักษาผู้ป่วยด้านการแพทย์แผนจีนในหออภิบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง เพื่อให้การรักษาโรคหลอดเลือดในสมองอย่างมีประสิทธิภาพ เตรียมผลักดันเข้าสู่ระบบบริการสาธารณสุขที่มีความพร้อม ทั้ง 12 เขตสุขภาพทั่วประเทศ
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า จากข้อมูลอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดสมองในประเทศไทยมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในทุกเขตสุขภาพและทุกลุ่มอายุโดยเฉพาะผู้สูงอายุ สถานการณ์ปัญหานี้มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆซึ่งส่งผลกระทบต่อภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และระดับประเทศ
ในการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาโรคหลอดเลือดในสมองที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในขณะนี้ เพื่อให้สอดคล้องต่อพันธกิจของกระทรวงสาธารณสุขแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี ในการพัฒนาคุณภาพระบบบริการสุขภาพที่ได้คุณภาพมาตรฐาน (Service plan) สาขาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จัดให้มีคลินิกการบริการการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกแบบครบวงจร โดยให้มีการรักษาโรคหลอดเลือดในสมองอย่างมีประสิทธิภาพและมีมาตรฐานบริการด้วยคุณภาพต่อผู้มารับบริการ ลดช่องว่างระหว่างการแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์แผนจีน จึงได้จัดทำโครงการรูปแบบบริการการแพทย์แผนจีน ในหน่วยบริการสาธารณสุข (CM in Stroke unit) ขึ้นโดยหน่วยบริการสาธารณสุขทั้ง 12 เขตสุขภาพ ที่มีศักยภาพความพร้อมในการให้บริการทั้งในเรื่องการแพทย์แผนจีนและหออภิบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke Unit)
การรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตามทฤษฏีการแพทย์แผนจีน อาศัยผลการวิจัยขั้นพื้นฐาน การวิจัยทางคลินิก ผลปฏิบัติการจริงทางคลินิก รักษาและฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในทุกระยะของโรค มีการใช้หลักการวินิจฉัยโรคตามทฤษฎีการแพทย์แผนจีน(เปี้ยนเจิ้งลุ่นจื้อ) ซึ่งเป็นจุดเด่นของแพทย์จีนมากำหนดแนวทางในการรักษาโดยการฝังเข็ม การใช้ยาจีนและการฟื้นฟูสุขภาพร่วมกันอย่างบูรณาการ ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะฟื้นฟูเป็นช่วงที่มีผลในการรักษาดีที่สุด เมื่อได้รับการรักษาจากแพทย์ กับความร่วมมือจากผู้ป่วยและสมาชิกในครอบครัว ก็จะสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในการรักษาและฟื้นฟูร่างกายผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
ประโยชน์ของการดำเนินการโครงการพัฒนารูปแบบบริการการแพทย์แผนจีน ในหน่วยบริการสาธารณสุข (CM in Stroke unit) จะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็วตั้งแต่แรกเริ่ม โดยจะสามารถลดอัตราการเสียชีวิตหรือทุพพลภาพลงได้มาก และสามารถกลับไปใช้ชีวิตในครอบครัวและสังคมได้ เพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วย สามารถลดอัตราการนอนโรงพยาบาลรวมถึงลดค่าใช้จ่ายทางสุขภาพสำหรับประเทศไทยได้เป็นอย่างมากอีกด้วย