สหัศธารา เป็นหนึ่งในตำรับยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ โดยจัดอยู่ในกลุ่มยารักษาอาการ ทางกล้ามเนื้อและกระดูก สำหรับรับประทาน สหัศธาราเป็นยาตำรับที่มีรสร้อน มีสรรพคุณ คือ แก้อาการ ปวดเมื่อย กล้ามเนื้ออักเสบ ขับลมในเส้นเอ็น และแก้โรคลมกองหยาบ ประกอบด้วยสมุนไพรต่างๆ 21 ชนิด
ในสูตรตำรับได้ระบุว่า ผงยา 1,000 ก. จะประกอบด้วยสมุนไพร ดังนี้ (1)
- พริกไทยล่อน หนัก 240 ก. รากเจตมูลเพลิงแดง หนัก 224 ก. ดอกดีปลี หนัก 96 ก. หัศคุณเทศ หนัก 48 ก.
- เนื้อลูกสมอไทย หนัก 104 ก. รากตองแตก หนัก 80 ก.
- เหง้าว่านน้ำ หนัก 88 ก.
- การบูร หนัก 14 ก. ดอกจันทน์ หนัก 13 ก. เทียนแดง หนัก 11 ก. ลูกจันทน์ หนัก 12 ก. เทียนตา ตั๊กแตน มหาหิงคุ์ หนักสิ่งละ 10 ก. เทียนสัตตบุษย์ หนัก 9 ก. เทียนขาว รากจิงจ้อ หนักสิ่งละ 8 ก. เทียนดา หนัก 7 ก. โกฐกักกรา หนัก 6 ก. โกฐเขมา หนัก 5 ก. โกฐก้านพร้าว หนัก 4 ก. โกฐพุงปลา หนัก 3 ก.
ข้อบ่งใช้ ขับลมในเส้น แก้โรคลมกองหยาบ
ขนาดและวิธีใช้ รับประทานครั้งละ 1 – 1.5 ก. วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร
ข้อห้ามใช้ ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์และผู้ที่มีไข้
คำเตือน
– ควรระวังการบริโภคในผู้ป่วยโรคความดันเลือดสูง โรคหัวใจ ผู้ป่วยโรคแผลเปื่อยเพปติก (แผลที่เยื่อบุกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น) และกรดไหลย้อน เนื่องจากเป็นตำรับยารสร้อน
– ควรระวังการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของตับและไต เนื่องจากอาจเกิดการสะสมของการบูรและเกิดพิษได้
– ควรระวังการใช้ร่วมกับยา phenytoin, propranolol, theophylline และ rifampicin เนื่องจากตำรับนี้มีพริกไทยในปริมาณสูง ซึ่งมีการวิจัยพบว่าพริกไทยจะเกิดอันตรกิริยา (drug-interaction) กับยาเหล่านี้ ทำให้มีผลต่อการออกฤทธิ์ของยาได้
อาการไม่พึงประสงค์ ร้อนท้อง แสบท้อง คลื่นไส้ คอแห้ง ผื่นคัน
สำหรับรายงานวิจัยที่สนับสนุนสรรพคุณของตำรับยาสหัศธารา มีดังนี้
- ฤทธิ์แก้ปวด
การศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลของยาแคปซูลสหัศธารากับยาเม็ดไดโคลฟีแนค (diclofenac) ในการรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อในผู้ป่วยที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อบ่าหรือต้นคอ อายุ 25-60 ปี จำนวน 62 คน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ให้รับประทานยาแคปซูลสหัศธารา ขนาด 400 มก. ครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 3 ครั้งก่อนอาหาร เป็นเวลา 7 วัน และกลุ่มที่ให้รับประทานยาเม็ดไดโคลฟีแนค ขนาด 25 มก. ครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร ติดต่อกันเป็นเวลา 7 วัน ประเมินผลระดับความรู้สึกปวดก่อนและหลังการรักษาด้วย Visual Analogue Scale (VAS) พบว่าทั้ง 2 กลุ่ม มีอาการปวดลดลงจากก่อนได้รับยา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างกลุ่ม พบว่าระดับอาการปวดกล้ามเนื้อ ทั้งก่อนและหลังการรักษาในทั้ง 2 กลุ่ม ไม่แตกต่างกัน แสดงว่าการรับประทานยาแคปซูลสหัศธารา ขนาด 1,200 มก. ต่อวัน นาน 7 วัน สามารถลดอาการปวดกล้ามเนื้อบ่าหรือต้นคอได้ไม่แตกต่างจากการใช้ ยาเม็ดไดโคลฟีแนคขนาด 75 มก. ต่อวัน (2)
การศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลในการรักษาอาการข้อเข่าเสื่อมของยาแคปซูลสหัศธารากับยาเม็ด ไดโคลฟีแนค (การศึกษาแบบ randomized double-blind controlled trial) ในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม อายุ 45-80 ปี จำนวน 66 คน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ให้รับประทานยาแคปซูลสหัศธารา ขนาด 500 มก. ครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร เป็นเวลา 28 วัน และกลุ่มที่ให้รับประทานยาเม็ดไดโคลฟีแนค ขนาด 25 มก. ครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร ติดต่อกันเป็นเวลา 28 วัน ทำการประเมินผลด้วย VAS, 100-meter walk times และ The Western Ontario McMaster Universities OA Index (WOMAC) พบว่ายาสหัศธาราและไดโคลฟีแนคให้ผลในการลดอาการปวดข้อเข่าได้ไม่แตกต่างกัน อาการไม่พึงประสงค์ที่พบในผู้ป่วยทั้ง 2 กลุ่ม คือ มวนท้อง ในผู้ป่วยที่ได้รับยาสหัศธาราจะไม่พบความผิดปกติของค่าเคมีของเลือดและไม่พบพิษต่อตับและไต ขณะที่ผู้ป่วยที่ได้รับยาไดโคลฟีแนค จะมีระดับของเอนไซม์ aspartate aminotransferase, alanine aminotransferase และ alkaline phosphatase ในเลือดสูงขึ้น และมีความดันโลหิตสูงขึ้น แต่ในกลุ่มที่ได้รับยาสหัศธาราไม่มีผลต่อความดันโลหิต จะเห็นว่าตำรับยาสหัศธาราให้ผลในการรักษาข้อเข่าเสื่อมได้เหมือนกับยาไดโคลฟีแนค แต่มีผลข้างเคียงน้อยกว่า (3)
การศึกษาประสิทธิภาพของตำรับยาสหัศธาราในผู้ป่วยที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อ จำนวน 80 คน โดยให้รับประทานยาแคปซูลสหัศธารา ขนาด 500 มก. ครั้งละ 3 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร เป็นเวลา 1 สัปดาห์ พบว่าผู้ป่วยร้อยละ 70 มีอาการปวดกล้ามเนื้อลดลง แต่พบอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา คือ แสบร้อนท้อง คอแห้ง และอาการอื่น ๆ ซึ่งพบมากในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป และผู้ป่วยที่มีธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุไฟ สรุปได้ว่ายาสหัศธาราในขนาดที่เลือกใช้ (1.5 ก./ครั้ง) ซึ่งเป็นขนาดสูงสุดที่ระบุในบัญชี ยาหลักแห่งชาติ สามารถบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อได้ แต่พบอาการไม่พึงประสงค์ ดังนั้นอาจจะเลือกใช้ ยาในขนาด 1 ก. ซึ่งเป็นขนาดต่าสุดที่ระบุไว้ (4)
การศึกษาประสิทธิผลของการนวดไทยกับการใช้ยาสหัศธาราในการรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อบ่าหรือ ต้นคอ ในอาสาสมัครชายหญิง อายุ 16 – 64 ปี ที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อบ่าหรือต้นคอ จำนวน 76 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 รักษาด้วยการนวดไทยร่วมกับการใช้ยาสหัศธารา โดยได้รับการนวดไทยในวันที่ 1, 3 และ 7 ครั้งละ 45 นาที ร่วมกับการให้รับประทานแคปซูลยาสหัศธารา ขนาด 500 มก. ครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร ติดต่อกัน 7 วัน กลุ่มที่ 2 รักษาด้วยการให้รับประทานยาสหัศธารา ในขนาดที่เท่ากันเพียงอย่างเดียว ประเมินผลระดับอาการปวดก่อนและหลังการรักษาด้วยแบบประเมิน ระดับความเจ็บปวด (Visual Analogue Scale) พบว่ากลุ่มที่ได้รับการนวดไทยร่วมกับการใช้ยาสหัศธารา และกลุ่มที่ได้รับเพียงยาสหัศธาราอย่างเดียวมีอาการปวดกล้ามเนื้อลดลงทั้ง 2 กลุ่ม แต่กลุ่มที่ได้รับ การนวดไทยร่วมกับการใช้ยา สหัศธารามีระดับความปวดลดลงชัดเจนในการรักษาวันที่ 1 ส่วนกลุ่มที่ได้รับเพียงยาสหัศธาราความปวดลดลงชัดเจนในการรักษาวันที่ 2 (5)
- ฤทธิ์ต้านการอักเสบ
เมื่อนำสารสกัด 95% เอทานอลของตำรับยาสหัศธาราและพืชเดี่ยวในตำรับ มาทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์ RAW 264.7 ที่ถูกเหนี่ยวนาด้วยไลโปโพลีแซคคาไรด์ พบว่าสารสกัดจากตำรับสหัศธารา โกฐเขมา และตองแตก มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์ (ค่าความเข้มข้นของสารสกัดที่ยับยั้งได้ร้อยละ 50; IC50 เท่ากับ 2.81, 9.70 และ 12.55 มคก./มล. ตามลำดับ) ได้สูงกว่ายา indomethacin (IC50 20.32 มคก./มล.) แต่ตำรับยามีฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์ cyclooxygenase COX-II ได้น้อยกว่ายา indomethacin (IC50 เท่ากับ 16.97และ 1.00 มคก./มล. ตามลำดับ) ขณะที่สารสกัดจากลูกจันทน์ พริกไทย และดีปลี มีฤทธิ์ดีในการยับยั้งเอนไซม์ COX-II โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 16.99, 17.70 และ 23.08 มคก./มล. ตามลำดับ (6, 7) นอกจากนี้ยังพบว่า สารสกัดตำรับสหัศธารา ดีปลี โกฐเขมา และพริกไทย มีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่ง Tumor Necrosis Factor- (TNF-) ได้ โดยมีค่า IC50 มากกว่า 30, 15.74±2.50, 19.63±1.13 และ 20.74±0.26 มคก./มล. ตามลำดับ (6) การศึกษาในเซลล์ผิวหนังของคน (normal human dermal fibroblast, NFDH) ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วย Interleukin-1 (IL-1) พบว่าสารสกัด 80% เอทานอลจากตำรับยา สหัศธารา และสารหลักที่พบในตำรับ ได้แก่ กรดแกลลิก (gallic acid) และพิเพอรีน (piperine) มีผลลดการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบและภูมิคุ้มกันได้ (8)
- ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
สารสกัด 70% เมทานอลจากตำรับยาสหัศธารา มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH โดย มีค่า IC50 เท่ากับ 219.2±5.8 มคก./มล. และพบว่าสารหลักที่ออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ คือ กรดแกลลิก กรดชีบูลิก (chebulic acid) กรดชีบูลาจิก (chebulagic acid) กรดเอลลาจิก (ellagic acid) และคอริลาจิน (corilagin) (9) การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัด 95% เอทานอลจากตำรับยาสหัศธาราและสมุนไพรเดี่ยวในตำรับด้วยวิธี DPPH พบว่าสารสกัดจากโกฐพุงปลา ลูกสมอไทย ลูกจันทน์ และตำรับสหัศธารา มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยมีค่าความเข้มข้นของสารสกัดที่สามารถดักจับอนุมูลอิสระได้ร้อยละ 50 (EC50) เท่ากับ 3.77±0.52, 4.97±0.13, 6.13±0.40 และ 9.42±1.71 มคก./มล. ตามลำดับ ซึ่งดีกว่าสารมาตรฐาน butylated hydroxyl-toluene; BHT) ที่มีค่า EC50 เท่ากับ 12.98±1.23 มคก./มล. (6)
การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH ของสารสกัด 80% เอทานอลจากตำรับยาสหัศธารา สมุนไพรเดี่ยว และสารหลักที่พบในตำรับ ได้แก่ กรดแกลลิกและพิเพอรีน ความเข้มข้น 3.75, 15, 30, 60, 120 มคก./มล พบว่าสารสกัดจากตำรับและกรดแกลลิกมีฤทธิ์จับกับอนุมูลอิสระ DPPH โดยฤทธิ์จะแปรผันตามความเข้มข้น ขณะที่พิเพอรีนไม่มีฤทธิ์ เมื่อพิจารณาจากค่าความเข้มข้นของสารที่สามารถจับกับ อนุมูลอิสระได้ร้อยละ 30 (IC30) จะพบว่าสมุนไพรเดี่ยวที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ 5 อันดับแรก ได้แก่ โกฐพุงปลา สมอไทย ลูกจันทน์ จิงจ้อ และดอกจันทน์ ส่วนการบูรและมหาหิงคุ์ไม่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้การศึกษาในเซลล์ NFDH ที่ถูกเหนี่ยวนาให้เกิดภาวะเครียดออกซิเดชั่นด้วย IL-1 (1 นาโนกรัม/มล.) พบว่าสารสกัดจากตำรับยาที่ความเข้มข้น 10 และ 30 มคก./มล. กรดแกลลิกความเข้มข้น 3 มคก./มล. และ พิเพอรีนความเข้มข้น 30 มคก./มล. มีฤทธิ์ในการยับยั้งการสร้างสารอนุมูลอิสระ (reactive oxygen species; ROS) ในเซลล์ NFDH ได้ (8)
- ฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์
เมื่อนำตำรับยาสหัศธารามาสกัดต่อเนื่องด้วยตัวทำละลายที่เป็นเฮกเซน 95% แอลกอฮอล์ และน้ำ ตามลำดับ จากนั้นรวมส่วนสกัดทั้ง 3 ส่วน ทำให้แห้งโดยวิธีสเปรย์ดราย แล้วนำสารสกัดมาทดสอบฤทธิ์ในการต้านการก่อกลายพันธุ์ของสารก่อกลายพันธุ์มาตรฐาน 3 ชนิด คือ 2-aminoanthracene (2-AA), 2-amino-fluorene (AF2) และ 4-nitroquinolene-1-oxide (4-NQO) ในเชื้อ Salmonella typhimurium TA98 และ TA100 ในภาวะที่มีและไม่มีการกระตุ้นด้วยเอนไซม์จากตับหนู (S-9 mix) พบว่าสารสกัดให้ผลต้านฤทธิ์ของสารก่อกลายพันธุ์ทั้ง 3 ชนิด โดยในภาวะที่ไม่มี S-9 mix จะต้านฤทธิ์ของ AF2 ใน TA98 และ TA100 และ 4-NQO ใน TA98 ด้วยค่า IC50 เท่ากับ 3.9, 4.3 และ 3.7 มก. ตามลำดับ และยังต้านฤทธิ์ของ 2-AA ในภาวะที่มี S-9 mix ทั้งใน TA98 และ TA100 โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 2 และ 2.3 มก. ตามลำดับ (10)
- ฤทธิ์ปกป้องหลอดเลือดและขยายหลอดเลือด
เมื่อป้อนหนูแรทปกติและหนูแรทที่มีความดันโลหิตสูง (spontaneously hypertensive rats) ด้วย ผงตำรับยาสหัศธารา ขนาด 100, 300 และ 1,000 มก./กก./วัน หรือสารพิเพอรีนขนาด 50 มก./กก./วัน เพียงอย่างเดียว หรือให้ร่วมกับสาร L-NAME (สารที่เหนี่ยวนาให้เกิดความดันโลหิตสูง) ที่ผสมในน้ำดื่ม เป็นเวลา 28 วัน เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ได้รับน้ำกลั่น ขนาด 3 มล./กก./วัน พบว่าการให้ตำรับยา สหัศธารา และพิเพอรีนเพียงอย่างเดียว ไม่มีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจ หรือความดันโลหิตค่าบน (systolic blood pressure) แต่ตำรับยาที่ขนาด 100 มก./กก. จะเพิ่มเปอร์เซ็นต์การคลายตัว (% relaxation) ของหลอดเลือดแดงเอออร์ตาต่อสาร acetylcholine ในหนูปกติ ขณะที่ตำรับยาขนาด 300 มก./กก. และพิเพอรีนจะเพิ่มเปอร์เซ็นต์การคลายตัวของหลอดเลือดทั้งในหนูปกติและหนูที่มีความดันโลหิตสูง เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม ในหนูปกติและหนูที่มีความดันโลหิตสูงที่ได้รับสาร L-NAME พบว่าตำรับยาและพิเพอรีนมีผล ลดความดันโลหิตที่สูงขึ้นและเพิ่มเปอร์เซ็นต์การคลายตัวของหลอดเลือดได้ในหนูทั้ง 2 กลุ่ม แสดงว่าตำรับยา สหัศธาราไม่มีผลต่อความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจในหนูปกติและหนูที่มีความดันโลหิตสูง แต่มีผลขยายหลอดเลือดและปกป้องหลอดเลือดจากการถูกเหนี่ยวนำด้วยสาร L-NAME ได้ (11)
หลักฐานความเป็นพิษและการทดสอบพิษ
การทดสอบความเป็นพิษ
การป้อนหนูแรทปกติและหนูแรทที่มีความดันโลหิตสูง (spontaneously hypertensive rats) ด้วยผงตำรับยาสหัศธารา ขนาด 100, 300 และ 1,000 มก./กก./วัน หรือพิเพอรีนขนาด 50 มก./กก./วัน เป็นเวลา 28 วัน พบว่าผงยาและพิเพอรีนไม่เป็นพิษต่อตับและไต โดยไม่มีผลต่อค่า blood urea nitrogen (BUN), creatinine, AST (aspartate aminotransferase), alanine transaminase (ALT) ในเลือดของหนู และไม่มีผลต่อน้ำหนักตัวของหนูในทั้ง 2 กลุ่ม (11)
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์
การทดสอบฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของสารสกัดตำรับยาสหัศธารา โดยนาตำรับยามาสกัดต่อเนื่องด้วย ตัวทำละลายที่เป็นเฮกเซน 95 % แอลกอฮอล์ และน้ำ ตามลาดับ จากนั้นรวมส่วนสกัดทั้ง 3 ส่วนทำให้แห้งโดยวิธีสเปรย์ดราย ทดสอบฤทธิ์ในเชื้อ Salmonella typhimurium TA98 และ TA100 พบว่าสารสกัด ความเข้มข้น 1-10 มก./จานเพาะเชื้อ ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ในเชื้อทั้ง 2 ชนิด ทั้งในภาวะที่มีและไม่มีการกระตุ้นด้วยเอนไซม์จากตับหนู (10)
จากข้อมูลรายงานการวิจัย จะเห็นว่ามีการศึกษาทางคลินิกที่สนับสนุนสรรพคุณของตำรับยาสหัศธารา ในการใช้แก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้ ให้ผลดีเทียบเท่ายาแผนปัจจุบัน และมีอาการข้างเคียงน้อยกว่า นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาอื่นๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งอาจเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะนำภูมิปัญญาของไทยมาพัฒนาต่อยอด และสนับสนุนการใช้ตำรับยาไทยทดแทนการใช้ยาแผนปัจจุบัน
เอกสารอ้างอิง
- ประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เรื่อง บัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2558 ประกาศ ณ วันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 คัดจากราชกิจจานุเบกษา เล่ม 132 ตอนพิเศษ 184 ง วันที่ 10 สิงหาคม 2558.
- ปรีชา หนูทิม วารณี บุญช่วยเหลือ ณัฎฐิญา ค้าผล. การเปรียบเทียบประสิทธิผลของยาแคปซูลสหัศธารากับยาเม็ดไดโคลฟีแนคในการรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อ. วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทาง เลือก 2556;11(1):54-65.
- Pinsornsak P, Kanokkangsadal P, Itharat A. The clinical efficacy and safety of the Sahastara remedy versus diclofenac in the treatment of osteoarthritis of the knee: A double-blind, randomized, and controlled trial. Evidence-Based Complementary and Alternative Medicine [internet] 2015 [cited 2017 Oct 16]; Article ID 103046:1-8. Available from: http:// dx.doi.org/10.1155/2015/103046.
29 Jul 2018
- โสภิดา แก้วนาหลวง. ศึกษาประสิทธิภาพยาสมุนไพรตำรับสหัศธาราในผู้ป่วยที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อ คลินิกแพทย์แผนไทยโรงพยาบาลเถิน จังหวัดลำปาง. บทคัดย่อประกวดผลงานวิชาการประจำปี การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกแห่งชาติ ครั้งที่ 12 2558:75.
- ปริยาภัทร สิงห์ทอง วะนิดา ศูนยะราช เพ็ญนภา ไพคานาม. ประสิทธิผลการนวดไทยร่วมกับการใช้ยา สหัศธาราในการรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อบ่า. วารสารหมอยาไทยวิจัย 2558;3(1):14-26.
- Kakatum N. Anti-inflammatory activity of Thai traditional remedy extract for muscle pain treatment called Sahasthara and its plant ingredients. [dissertation] Bangkok: Thammasat University; 2011.
- Jaiaree N, Itharat A. Anti-inflammatory effect of a Thai traditional drug for muscle pain treatment via nitric oxide and COX-II inhibitor. Planta Med 2012:78.
- Thamsermsang O, Akarasereenont P, Laohapand T, Panich U. IL-1-induced modulation of gene expression profile in human dermal fibroblasts: the effects of Thai herbal Sahatsatara formula, piperine and gallic acid possessing antioxidant properties. BMC Complement Altern Med 2017;17:32.
- Nuengchamnong N, Ingkaninan K. An on-line LC-MS/ DPPH approach towards the quality control of antioxidative ingredients in Sahastara. Songklanakarin J Sci Technol 2017;39(1): 123-9.
- บังอร ศรีพานิชกุลชัย นิรามัย ฝางกระโทก พร้อมจิต ศรลัมภ์ นพมาศ สุนทรเจริญนนท์. การตรวจสอบฤทธิ์กลายพันธุ์และต้านการกลายพันธุ์ของสารสกัดยาแผนโบราณไทย. วารสารวิจัย มข. 2550;12(4): 492-8.
- Booranasubkajorn S, Huabprasert S, Wattanarangsan J, Chotitham P, Jutasompakorn P, Laohapand T, et al. Vasculoprotective and vasodilatation effects of herbal formula (Sahatsatara) and piperine in spontaneously hypertensive rats. Phytomedicine 2017;24: 148-56.
ขอบคุณข้อมูลจาก MED HERB GURU โดยอรัญญา ศรีบุศราคัม สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล