นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการหารือร่วมกับ Ms. Ingrid van Wees รองประธานจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) เพื่อหารือเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รวมถึงมองหาโอกาสในการร่วมมือกันระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับ ADB ในอนาคต ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระยะยาวฉบับใหม่ของ ADB (Strategy 2030) ซึ่งให้ความสำคัญในการดำเนินงาน 7 ประเด็น ประกอบด้วย (1) การขจัดความยากจนและลดความไม่เท่าเทียม (2) การเร่งความก้าวหน้าด้านความเท่าเทียมทางเพศ (3) การแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สร้างการรับมือภัยพิบัติ และเสริมสร้างความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม (4) การทำให้เมืองน่าอยู่ (5) การส่งเสริมการพัฒนาชนบทและความมั่นคงอาหาร (6) การเสริมสร้างการกำกับดูแลและขีดความสามารถของสถาบัน และ (7) การส่งเสริมความร่วมมือและการรวมกลุ่มในระดับภูมิภาค โดยมีเป้าหมายเพื่อต้องการขยายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมถึงหารือเกี่ยวกับแนวทางการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรการสร้างความมั่นคงอาหารอย่างยั่งยืน และการส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อเพิ่มมูลค่าและลดผลกระทบจากภาคเกษตรที่มีต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ สศก. ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ 2 โครงการที่ให้ความสำคัญ ได้แก่ การจัดทำข้อมูลของศูนย์ข้อมูลการเกษตรแห่งชาติ (National Agricultural Big Data Center : NABC) และการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีทางการเกษตร (Agri-technology and Innovation Center: AIC) ซึ่งสอดคล้องกับประเด็นที่ ADB ต้องการผลักดันภายใต้ยุทธศาสตร์ Strategy 2030 ดังกล่าว เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับ ADB ในการพิจารณาความร่วมมือกันในอนาคต โดยทาง ADB ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากทั้ง 2 โครงการที่ สศก. ให้ความสำคัญ เพื่อให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนและเพิ่มรายได้จากการใช้ข้อมูลดังกล่าวและสามารถคาดการณ์ผลผลิตที่ตนจะได้รับ เพื่อนำไปใช้เป็นหลักฐานประกอบการขอกู้เงิน ในการลงทุนการผลิตทางการเกษตรของตนได้ ซึ่ง สศก. เล็งเห็นว่าแนวคิดนี้เป็นประโยชน์และเป็นโอกาสในการร่วมมือระหว่าง สศก. และ ADB ร่วมกันต่อไป
เลขาธิการ สศก. ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สศก. ร่วมกับ ADB อยู่ระหว่างการเตรียมการสำหรับดำเนินงาน “โครงการการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคเกษตรเพื่อเพิ่มการฟื้นตัวและความยั่งยืนในพื้นที่สูง (Climate Change Adaptation in Agriculture for Enhanced Recovery and Sustainability of Highlands)” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเปราะบางของพื้นที่เกษตรที่มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ภาวะฝนแล้ง น้ำท่วม หรือดินถล่ม ตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวของชุมชนบนพื้นที่สูง มีกำหนดระยะเวลาดำเนินโครงการ 3 ปี (กลางปี 2563 – 2566) ซึ่งอยู่ระหว่างการเสนอขออนุมัติเงินทุนจากกองทุนเพื่อการลดความยากจนของรัฐบาลญี่ปุ่น (Japan Fund for Poverty Reduction :JFPR) ซึ่งคาดว่าโครงการดังกล่าวจะได้รับการพิจารณาอนุมัติและจะได้เริ่มดำเนินงานโครงการในช่วงเดือนกรกฎาคม โดยเน้นการมีส่วนร่วมของหน่วยงานราชการและประชาชนในพื้นที่ในการเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ด้านต่างๆ ได้แก่ การถ่ายทอดองค์ความรู้ การสนับสนุนเทคโนโลยี พัฒนาเครื่องมือโดยการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการดำเนินงานให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่สูงอย่างยั่งยืน
ข่าว : ส่วนประชาสัมพันธ์
ข้อมูล : กองเศรษฐกิจการเกษตรระหว่างประเทศ