วันที่ 27 มีนาคม 2563 เวลา 16.15 น.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ซึ่งมีทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ห้องประชุม กิติยากรวรลักษณ์ ชั้น 4 อาคาร สํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยใช้เวลากว่า 3 ชม.
ภายหลังการประชุมนายจุรินทร์ กล่าวว่า ในเรื่องของไข่ไก่ภายหลังจากที่ได้ลงนามในประกาศห้ามส่งออกไข่ไก่ไปนอกราชอาณาจักรเป็นเวลา7วันนับตั้งแต่เมื่อวานเป็นต้นมา วันนี้ก็เลยจะต้องดำเนินการมาตรการตามกฏหมาย คือจะต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เพื่อให้ความเห็นชอบซึ่งวันนี้ที่ประชุมก็ได้ใครความเห็นชอบและให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในฐานะประธานกกรสามารถใช้ดุลพินิจในการที่จะขยายเวลาไปได้รวมทั้งหมดตั้งแต่วันประกาศไม่เกิน 30 วันหากว่ามีความจำเป็นต้องห้ามส่งออกนานกว่านั้นก็จะต้องกลับมาขออนุมัติที่ประชุมใหม่
อย่างไรก็ตาม สำหรับปริมาณการผลิตไข่ไก่จะมีการผลิตวันละประมาณ 41,000,000 ฟองและบริโภคในประเทศประมาณ 39,000,000 ฟองในภาวะปกติเพราะฉะนั้นมาตรการที่กระทรวงพาณิชย์กำลังดำเนินการคือทำอย่างไรที่จะให้ไข่ไก่ที่ผลิตได้วันละ 41,000,000 ฟองซึ่งผลิตได้ในแต่ละวันสามารถสนองตอบความต้องการของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด ซึ่งนี่เป็นประเด็นที่มาของมาตรการที่หนึ่งคือการห้ามส่งออกไปนอกราชอาณาจักรโดยมีข้อมูลบางส่วนว่าอาจจะมีการลักลอบส่งออกตามบริเวณชายแดนซึ่งจะทำให้ปริมาณขายในประเทศไม่เพียงพอต่อการบริโภคและประการถัดมาก็คือสำหรับผู้ที่กักตุนไข่ไว้ทำให้ไข่ไม่สามารถออกสู่ตลาดเพื่อสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้นั้นจะถูกดำเนินคดีอย่างเคร่งครัดทั้งในข้อหากักตุนและค้ากำไรเกินควรซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึงเจ็ดปีปรับไม่เกิน 140,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ประเด็นปัญหาที่ไข่ในตลาดในขณะนี้ยังมีไม่เพียงพอเนื่องจากว่าผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยมีความต้องการที่จะซื้อไข่ไปเก็บไว้เพื่อบริโภคที่บ้านในปริมาณที่มากกว่าปกติซึ่งตัวเลขที่กรมการค้าภายในได้ติดตามในช่วงนี้ในเวลาไม่กี่วันมานี้พบว่ามีความต้องการสูงขึ้นถึงสามเท่าจากภาวะปกติที่ปริมาณการผลิตไข่วันละ 41,000,000 ฟองมีเพียงพอและบางช่วงเหลือส่งออกด้วยซ้ำ ซึ่งมีบางช่วงรัฐบาลเคยช่วยส่งเสริมการส่งออกและช่วยอุดหนุนการส่งออกฟองละ 46 สตางค์ ดังนั้นหลายห้างสรรพสินค้าในขณะนี้จึงใช้มาตรการจำกัดปริมาณการซื้อไม่ให้ซื้อไปเก็บไว้สำหรับคนคนเดียวมากเกินไปทำให้คนอื่นไม่มีโอกาสได้ซื้อและเท่าที่ติดตามจะมีไข่ชุดใหม่ออกมาสู่ตลาดทุกๆวัน
ขณะนี้หัวใจสำคัญคือสำหรับผู้ที่กักตุนทำให้ไข่ขาดตลาดและพวกที่คิดจะลักลอบนำไข่ออกไปบริเวณชายแดนรวมทั้งผู้ที่ขายเกินราคาจะต้องถูกกำหนดดำเนินคดีโดยเด็ดขาดโดยคณะกรรมการป้องกันการกักตุนสินค้าและการค้ากำไรเกินควรโดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานซึ่งถึงขณะนี้ได้มีการดำเนินคดีในหลายจังหวัดทั่วประเทศยกตัวอย่างเช่น เมื่อวานนอกจากคดีที่ จังหวัดพิษณุโลกที่ค้ากำไรเกินควร และยังมีที่เขตราชเทวีคือร้านไข่ไก่สวนฟาร์มกิตติคุณซึ่งขายไข่ไก่เบอร์ศูนย์ราคา 200 บาทต่อแผงและได้ส่งดำเนินคดีที่สน. ดินแดงแล้ว และร้านเจ๊ใหญ่ที่อำเภอเมืองปทุมธานีขายไข่ไก่แผงละ 170 บาทซึ่งถือเป็นการค้ากำไรเกินควรและร้านข้างตลาดบ่อนไก่อำเภอเมืองจังหวัดนครสวรรค์ซึ่งขายไข่ไก่เบอร์สามแผงละ 130 บาท เบอร์สองแผงละ 145 เบอร์หนึ่งแผงละ 150 บาทซึ่งโดนข้อหาค้ากำไรเกินควร หรือในกรณีที่ร้านตลาดเทศบาลสามอำเภอหล่มสักจังหวัดเพชรบูรณ์และตลาด ณ ท่าศาลา อำเภอท่าใหม่ ไม่ปิดป้ายแสดงราคาถือว่ามีความผิดเช่นเดียวกันสำหรับตลาดท่าใหม่ นอกจากไม่ติดป้ายราคาแล้วยังมีการจำหน่ายไข่ไก่เบอร์ศูนย์แผงละ 180 บาทเบอร์หนึ่งแผงละ 170 บาทเบอร์สองแผงละ 160 บาทจึงโดนข้อหาค้ากำไรเกินควรด้วยสำหรับที่ตลาดเลิศนิมิต อำเภอบางใหญ่ แผงชื่อก.ขายไข่ขายไข่ไก่เบอร์ศูนย์แผงละ 180 บาทถูกดำเนินคดีค้ากำไรเกินควร และร้านทวีทรัพย์จังหวัดอ่างทองซึ่งค้ากำไรเกินควรขายไข่ไก่เบอร์ศูนย์ 180 บาทต่อแผงและโดยในโยบายได้มีการสั่งการให้ทุกจังหวัดดำเนินคดีโดยเคร่งครัดรวมทั้งสกัดกั้นการลักลอบส่งออกตามบริเวณชายแดนด้วย
และล่าสุดวันนี้ที่บางเลน จังหวัดนครปฐม กำลังดำเนินคดีกับฟาร์มซึ่งขายไข่ไก่หน้าฟาร์มในราคา 3.80 บาทจากราคาที่สมาคมประกาศฟองละ 2.80 บาท ที่จังหวัดนครสวรรค์ก็กำลังดำเนินคดีอยู่ ณเวลานี้เช่นกันซึ่งขายขายครัหน้าฟาร์มราคาฟองละเฉลี่ย 3.20 บาทจากราคาที่ประกาศ 2.80 บาท ที่ อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ชื่อฟาร์มกนกวรรณ สิ่งหนึ่งที่จะขอเน้นย้ำคือ ขอฝากเตือนผู้ที่กระทำการช่วยโอกาสซ้ำเติมความทุกข์ของประชาชนในขณะนี้ซึ่งนอกจากทุกคนจะต้องร่วมกันในการประสบภัยโควิชแล้วผมไม่อยากเห็นการแสวงหาประโยชน์ที่เท่ากับเป็นการซ้ำเติมความทุกข์ของประชาชนในภาพรวมเพราะว่าเมื่อถูกดำเนินคดีแล้วรายได้อาจจะไม่ถึงจะมากหรือจะน้อยสุดแล้วแต่แต่ช่วงเวลานี้เราจะเห็นได้ชัดว่าศาลพิพากษาจำคุกจริงๆเพราะฉะนั้นมันจึงไม่คุ้มกันกับการเห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้าที่ได้รับมาสำหรับพี่น้องประชาชนผู้บริโภคอยากขอให้ช่วยซื้อเท่าที่รับประทานได้ในช่วงเวลาไม่นานและออกไปซื้อใหม่ซึ่งจะช่วยให้หลายหลายท่านจะมีใครนำไปบริโภคได้หลายรายมากขึ้น
สำหรับเจลล้างมือ ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ออกประกาศที่กำหนดว่าเจลล้างมือที่วางขายตามท้องตลาดจะต้องมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ไม่น้อยกว่า 70%ทำให้เจลสวนหนึ่งที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ไม่ถึงร้อยละ 70 จะต้องถูกเก็บออกจากตลาดไป ช่วงรอยต่อนี้ทำให้เจลขาดตลาดมากขณะเดียวกันการผลิตเจลล้างมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70% ขึ้นไปจะมีความจำเป็นต้องนำแอลกอฮอล์ที่ผลิตเป็นเอทานอลออกมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตแต่ขณะนี้แม้ว่ากรมสรรพากรสามิตจะได้ผ่อนคลายกฎระเบียบว่าให้สามารถนำเอทานอลมาใช้ในการผลิตเจลล้างมือได้แล้วโดยให้สามารถซื้อได้ไม่เกิน 5,000 ลิตรต่อหนึ่งใบอนุญาตแต่ในขั้นตอนกระบวนการปฏิบัติอย่างค่อนข้าง ซับซ้อนอยู่ยกตัวอย่างเ ช่นผู้ที่จะขอซื้อเอทานอลเพื่อไปผลิตเจลนั้นอาจจะต้องไปขออนุญาตจากสรรพสามิตในจังหวัดที่ตนเองมีภูมิลำเนาหรือเมื่อได้ใบอนุญาตแล้วจะต้องไปขออนุญาตที่จะซื้อเอทานอลในจังหวัดที่โรงงานเอทานอลตั้งอยู่ด้วยและในการที่จะขนเอทานอลหลังจากซื้อจากโรงงานแล้วก็จะต้องมีขั้นตอนกระบวนการใบขับขี่ของคนขับหลายขั้นตอนซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคในเรื่องของการปฎิบัติ
“ซึ่งเมื่อวานผมได้เรียนให้ประชุมโควิดได้รับทราบข้อเท็จจริงในการปฏิบัติอยู่ทางกระทรวงการคลังก็รับที่จะไปช่วยครีขายปัญหาในเรื่องนี้ซึ่งกรมการค้าภายในได้เสนอว่าถ้าเป็นไปได้น่าจะมีการตั้งศูนย์วันสต็อปเซอร์วิสที่โรงงานผลิตเอทานอลเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อเอสทนร์เพื่อนำมาผลิตเจลเพื่อ ให้ผลผลิตออกสู่ตลาดได้รวดเร็วขึ้นหรืออีกวิธีหนึ่งคือการให้เจลที่ออกสู่ตลาดมีการปรับเปลี่ยน package จริงจากขวดที่มีหัวปั๊มมาเป็นในรูปแบบของถุงหรือรูปแบบคือก็จะช่วยให้สามารถผลิตและออกสู่ตลาดได้รวดเร็วมากขึ้นซึ่งกรมการค้าภายในจะได้ประสานกับกระทรวงสากรรมและกรมสัมผัสสามิตเพื่อให้เจลออกสู่ตลาดได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น ส่วนผู้ที่ขายเกินราคาเกินควรก็จะต้องถูกดำเนินคดีต่อไปเช่นกัน” นายจุรินทร์ กล่าว