ผลไม้ไทยรุกตลาดโลกฝ่าวิกฤต COVID-19 สบช่องเทรนด์สุขภาพ ปรับกลยุทธ์เป็นแปรรูป

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความโดดเด่นเรื่องผลไม้ โดยเฉพาะทุเรียน มังคุด ซึ่งเป็นราชา ราชินีผลไม้ไทย หรือแม้แต่ลำไย มะม่วงเองก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงหลายปีมานี้ ท่ามกลางกระแสการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ลุกลามไปยังหลายประเทศขณะนี้ แม้ว่าจะส่งผลกระทบต่อหลายธุรกิจ แต่ก็อาจจะมีมุมให้พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ในการนำเสนอผลไม้ชนิดอื่น หรือผลไม้แปรรูป โดยเน้นจุดเด่นด้านวัตถุดิบธรรมชาติ มีคุณค่าทางโภชนาการ สะดวกในการรับประทานและเก็บรักษา และผลิตด้วยกระบวนการแปรรูปที่ได้มาตรฐาน

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์  เปิดเผยว่า  เมื่อเร็วๆ นี้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ หรือ DITP  นำทีมผู้ประกอบการส่งออกผลไม้ไทยกว่า 70 ราย ร่วมเจรจาซื้อขายกับผู้นำเข้า ผู้ซื้อ และตัวแทนจำหน่ายจากภูมิภาคต่างๆ 45 บริษัท จาก 13 ประเทศทั่วโลก ขณะเดียวกันยังได้จัดพิธีลงนามความตกลงทางการค้า (MOU) สร้างความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทยกับคู่ค้าจากสิงคโปร์และฮ่องกง ในการซื้อขายสินค้าผลไม้สด  ผักสด และผลไม้อบแห้งต่างๆ กว่า 10,000 ตัน รวมมูลค่าซื้อขายกว่า 1,095 ล้านบาทด้วย เพื่อรองรับผลผลิตที่จะออกมาจำนวนมากในช่วงฤดูกาลผลไม้ในที่จะถึง ไม่ว่าจะเป็นทุเรียน มังคุด และลำไย ซึ่งถือเป็นผลไม้ยอดนิยมรับในแถบเอเชีย รวมถึงผลไม้อื่นๆ ทั้งยังเป็นการกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้ซื้อ ผู้นำเข้า และผู้ประกอบการส่งออกผลไม้ไทยอีกด้วย โดยหนึ่งในบริษัทคู่ค้าที่ได้ร่วมลงนามข้อตกลงกันนั้น คือ บริษัท  สวีต บี ฟาร์ม จำกัด ร่วมกับ บริษัท เลิฟ ฟาร์ม กรุ๊ป จำกัด ลงนามความตกลงกับ บริษัท ยูนิฟายด์ อินเวสท์เมนต์ แอนด์ โฮลดิ้งส์ จำกัด เพื่อขยายตลาดผลิตภัณฑ์ผลไม้ไทยสู่ประเทศสิงคโปร์

มร. พี เอช โลว ผู้บริหารจาก บริษัท ยูนิฟายด์ อินเวสท์เมนต์ แอนด์ โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทยูนิฟายด์ อินเวสท์เมนต์ แอนด์ โฮลดิ้งส์ จำกัด เป็นหนึ่งในบริษัทสัญชาติสิงคโปร์ที่เน้นการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากประเทศไทยโดยเฉพาะ ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ผลไม้แปรรูปและของทานเล่นประเภทต่างๆ ก่อนหน้านี้ มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากประเทศอื่นๆ ด้วย แต่เมื่อได้ศึกษาด้านการรับรองผลิตภัณฑ์ฮาลาล (Halal) ตลอดจนถึงการผลิตและกระบวนการแปรรูปผลไม้ของประเทศไทย ทำให้ทางบริษัทตัดสินใจที่จะมุ่งเน้นเฉพาะการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากประเทศไทยโดยเฉพาะ และมีการดำเนินงานอยู่ในธุรกิจนี้มาประมาณหกปีแล้ว นอกจากจะจัดจำหน่ายในสิงคโปร์ แล้วยังมีการทำตลาดในฮ่องกง อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ด้วย

“แนวโน้มของตลาดผู้บริโภคชาวสิงคโปร์นั้น ผู้บริโภคยุคใหม่ถือเป็นกลุ่มที่เน้นด้านสุขภาพมากขึ้น  มีความรู้และความตื่นตัวในด้านสุขภาพ ค้นหาข้อมูลสุขด้านภาพ มีการบริโภคน้ำตาลและความหวานที่ลดลง  สถานกาณ์ด้านผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะนี้ มองว่าแม้ผู้บริโภคบางส่วนจะลดการออกมาจับจ่ายใช้สอย แต่ผลิตภัณฑ์ผลไม้แปรรูปยังมีลู่ทางที่สามารถจัดจำหน่ายได้ทางแพลตฟอร์มออนไลน์  ทั้งนี้ บริษัทเล็งเห็นโอกาสในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมองเห็นถึงโอกาสในการนำเข้าผลิตภัณฑ์อื่นๆ รวมถึงผลไม้สดจากประเทศไทยอีกด้วย อาทิ มะม่วง ลำไยอบแห้ง หรือสับปะรด”

โดยบริษัทได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง (MOU) นำเข้าผลิตภัณฑ์แปรรูปกับบริษัท สวีต บี ฟาร์ม จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์แบรนด์ “บ้านมะขาม” และบริษัท เลิฟ ฟาร์ม กรุ๊ป จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์ผลไม้แปรรูป แบรนด์ ”เลิฟฟาร์ม” ในการนำเข้าผลิตภัณฑ์ผลไม้แปรรูปเป็นมูลค่ารวม 500,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 15.8 ล้านบาท) ทั้งนี้ ทางบริษัทเล็งเห็นถึงศักยภาพของผลิตภัณฑ์ประเภทมะขามจากประเทศไทย เนื่องจากมะขามนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ไม่เน้นรสหวานจัด และยังสนใจการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่นๆ อาทิ แยมมะขาม และน้ำพริกมะขาม ขณะเดียวกันยังได้เริ่มทำความรู้จักกับผลิตภัณฑ์แบรนด์เลิฟฟาร์มมาตั้งตั้งแต่ปีที่ผ่านมา พร้อมเจรจาเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการนำเข้าสินค้าจากเลิฟฟาร์มสู่สิงคโปร์ด้วย

“สิงคโปร์ใกล้กับประเทศไทย และตลาดผู้บริโภคมีการตอบรับที่ดีตลอดมา โดยสินค้าจากประเทศไทยที่ทางบริษัทจัดจำหน่ายนั้น ส่วนใหญ่เน้นการผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์จากประเทศอื่นๆ ทั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าในด้านการวิจัยและพัฒนาสินค้าจากประเทศไทยมีการพัฒนาเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงสิบปีก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือแพจเกจที่มีการพัฒนาอย่างโดดเด่น อย่างไรก็ตามหากมีการปรับในด้านภาษาที่นำเสนอบนแพจเกจให้เป็นสากลเพิ่มขึ้น จะสามารถช่วยให้ผู้บริโภคมีความเข้าใจในสินค้าได้มากขึ้น ว่าใช้ผลิตภัณฑ์อย่างไร บริโภคอย่างไร และมีประโยชน์อย่างไร ซึ่งทางบริษัทเองในฐานะผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ ได้ช่วยให้ความรู้กับผู้บริโภคอีกทางด้วย” มร. พี เอช โลว กล่าว

ด้านผู้ประกอบการจากประเทศไทย นางสาวอุบลรัตน์  โฆวงศ์ประเสริฐ รองประธานฝ่ายขายและการตลาด บริษัท สวีต บี ฟาร์ม จำกัด และผู้ก่อตั้งบริษัท เลิฟ ฟาร์ม กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันมีผลกระทบบ้างในส่วนของตลาดส่งออกไปยังประเทศจีน เนื่องจากเป็นตลาดหลัก แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีคำสั่งซื้อจากประเทศญี่ปุ่น เกาหลี และสิงค์โปร์ อย่างต่อเนื่องแม้ว่าประเทศเหล่านี้จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เช่นกัน

“ผลไม้แปรรูปไทยยังคงมีศักยภาพเติบโตในตลาดโลก เนื่องจากประเทศไทยนั้นเป็นผู้ผลิตผลไม้อยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก และมีผลไม้ขึ้นชื่อหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น มะม่วง ทุเรียน มังคุด ลำไย ทำให้ตลาดผลไม้แปรรูปจะยังจะคงเติบโตได้อีกมาก อีกทั้งด้วยความเชี่ยวชาญและความหลากหลายของกระบวนการแปรรูป ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปแบบกรอบ แบบนิ่ม ไปจนถึงแบบที่ผู้บริโภคสามารถเติมน้ำเพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีรสชาติเหมือนผลไม้สด ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์บ้านมะขามมีการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศยาวนานกว่า 10 ปี ส่วนผลิตภัณฑ์ของเลิฟฟาร์มนั้นเริ่มส่งออกตั้งแต่ปีแรกที่แบรนด์ก่อตั้งขึ้น

ตลาดส่งออกหลักคือตลาดในเอเชีย โดยมีประเทศจีนเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้บริโภคในจีนให้การตอบรับเป็นอย่างดีเนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีรสชาติที่ผู้บริโภคคุ้นเคย นอกจากนี้ยังส่งออกไปยัง ไต้หวัน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลี มาเลเซีย และออสเตรเลีย ส่วนในยุโรปปัจจุบันมีตัวแทนในประเทศอังกฤษ ซึ่งจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของทั้งสองแบรนด์ โดยเน้นวางจำหน่ายในซูเปอร์มาเก็ตในย่านชุมชนชาวเอเชียเป็นหลัก และขณะนี้กำลังวางแผนขยายตลาดไปยังแถบตะวันออกกลางเนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อสูง โดยได้มีการทดลองจำหน่ายสินค้าในบางประเทศไปบ้างแล้ว ซึ่งพบว่าประเทศบาห์เรนให้การตอบรับและมีการสั่งซื้อสินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งผลิตภัณฑ์แปรรูปประเภทที่เป็นวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหาร และของทานเล่น”

 

นางสาวอุบลรัตน์ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากกลุ่มผู้บริโภคที่ลดการบริโภคเนื้อสัตว์มีมากขึ้น และมองหาผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปอื่นๆ ทดแทน เช่นวัตถุดิบที่ใช้พืชหรือผลไม้ในการประกอบอาหาร (Plant-based / Fruit-based products) อย่างไรก็ตาม จากกระแสการตื่นตัวในด้านสุขภาพของผู้บริโภคยุคใหม่ ทางผู้ผลิตสินค้าผลไม้แปรรูปอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตเพื่อลดปริมาณน้ำตาลและความหวานลง และสร้างการรับรู้ให้กับตลาดผู้บริโภค เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่มองว่ากระบวนการผลิตผลไม้แปรรูปนั้นมีการใช้วัตถุดิบประเภทน้ำตาลในปริมาณที่ค่อนข้างสูง เช่นกระบวนการแช่ในไซรัปให้น้ำตาลไปแทนที่น้ำ เพื่อเป็นการถนอมให้ผลิตภัณฑ์สามารถเก็บไว้ได้นานขึ้น

ประเทศไทยเป็นประเทศที่ได้เปรียบทางด้านการเพาะปลูกผลไม้ เพราะมีดินที่อุดมสมบูรณ์ เกษตรกรมีความเชี่ยวชาญ และมีการพัฒนาวิจัยพันธุ์อยู่อย่างต่อเนื่อง จึงทำให้การส่งออกผลไม้ไทยนั้นยังคงโดดเด่น และนอกจากผลไม้สดแล้ว ผลไม้แปรรูปยังเป็นสินค้ามาแรงที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เพราะเก็บได้นาน ได้รสชาติที่ถูกปาก ใกล้เคียงรูปแบบสด ซึ่งผู้ส่งออกอาจจะต้องปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับประเทศกลุ่มเป้าหมาย และคิดค้นสินค้าใหม่ๆ ตามเทรนด์นิยมโดยเฉพาะเรื่องสุขภาพที่ยังมีช่องว่างให้เติบโตได้อีกมาก

###