‘เอฟทีเอ’ ดันไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงเบอร์ 4 โลก ‘กรมเจรจาฯ’ แนะผู้ประกอบการพัฒนาอาหารสุขภาพสำหรับสัตว์เลี้ยงตามเทรนด์ตลาด

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เผยเอฟทีเอดันไทยขึ้นแท่นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับ 4 ของโลก นับตั้งแต่มีเอฟทีเอฉบับแรกขยายตัวถึงร้อยละ 828 ตลาดอาเซียนเติบโตสูงสุดร้อยละ 6,306 รองลงมาคือ จีน เติบโตร้อยละ 3,969 และ เกาหลีใต้เติบโตร้อยละ 650 พร้อมหนุนผู้ประกอบการพัฒนาอาหารสุขภาพสำหรับสัตว์เลี้ยง เช่น อาหารปลอดสารพิษ อาหารแคลอรี่ต่ำ อาหารมีส่วนผสมของเนื้อสัตว์และผัก รวมถึงอาหารสำหรับสัตว์เจ็บป่วย รับแนวโน้มตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า สินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง เป็นหนึ่งในธุรกิจดาวรุ่งที่น่าจับตามอง และมีมูลค่าส่งออกเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบัน ไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับที่ 4 ของโลกแล้ว รองจาก สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีน โดยในปี 2562 ไทยส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นมูลค่าสูงถึง 1,693 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับปี 2561 เป็นการส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไป 18 ประเทศคู่เอฟทีเอมูลค่า 954 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 56 ของการส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยไปทั่วโลก เป็นอาหารสำหรับสุนัขและแมว สัดส่วนร้อยละ 82 และอาหารสัตว์เลี้ยงอื่นๆ สัดส่วนร้อยละ 18 มีประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น อาเซียน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป

นางอรมน เสริมว่า เอฟทีเอนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย เพราะช่วยขจัดอุปสรรคด้านภาษีศุลกากรในประเทศคู่ค้าทำให้ได้แต้มต่อในการแข่งขัน โดยปัจจุบันสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยทุกรายการไม่ถูกเก็บภาษีนำเข้าใน 15 ประเทศที่ไทยมีเอฟทีเอด้วย ได้แก่ ประเทศสมาชิกอาเซียน จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เปรูและฮ่องกง มีเพียง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย ที่ยังคงการเก็บภาษีนำเข้ากับไทยในบางรายการสินค้า ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง ตั้งแต่ปี 2535 ซึ่งเป็นปีก่อนที่ความตกลง FTA ฉบับแรกของไทยกับอาเซียนจะมีผลบังคับใช้ จนถึงปี 2562 รวมระยะเวลากว่า 27 ปี พบว่ามูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 828 การส่งออกกับคู่เอฟทีเอขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกตลาด โดยตลาดอาเซียนขยายตัวสูงสุดถึงร้อยละ 6,306 รองลงมาได้แก่ จีน ขยายตัวร้อยละ 3,969 เกาหลีใต้ ขยายตัวร้อยละ 650 อินเดีย ขยายตัวร้อยละ 573 นิวซีแลนด์ ขยายตัวร้อยละ 531 และออสเตรเลีย ขยายตัวร้อยละ 244 เป็นต้น ส่วนปัจจัยอื่นๆ ที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทย อาทิ จำนวนสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น คุณภาพการผลิตของไทยที่มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก การเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงในไทยของบริษัทผู้ผลิตต่างชาติ เป็นต้น

“เพื่อให้สินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงจากไทยครองใจผู้บริโภคในตลาดโลก ผู้ผลิตและผู้ส่งออกอาหารสัตว์ของไทยควรรักษามาตรฐานสินค้าให้สอดคล้องกับหลักการสากลด้านสุขอนามัย และปฏิบัติตามกฎระเบียบการนำเข้าอย่างเคร่งครัด รวมทั้งต้องศึกษาแนวโน้มตลาดให้ดี เพราะปัจจุบันเจ้าของสัตว์เลี้ยงใส่ใจสุขภาพสัตว์เลี้ยงรวมถึงอาหารที่ให้สัตว์เลี้ยงบริโภค  อาหารสัตว์เลี้ยงจึงควรเป็นอาหารคุณภาพดี มีประโยชน์ และช่วยดูแลสุขภาพให้กับสัตว์เลี้ยง มีความหลากหลายในชนิดของอาหาร เช่น อาหารปลอดสารพิษ อาหารแคลอรี่ต่ำ อาหารมีส่วนผสมทั้งเนื้อสัตว์และผัก ตลอดจนอาหารสำหรับสัตว์ที่เจ็บป่วย ผู้ประกอบการจึงควรวางแผนการผลิตให้ตรงตามความต้องการของตลาด” นางอรมน กล่าว

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบอัตราภาษีศุลกากร กฎระเบียบทางการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับประเทศคู่เอฟทีเอ หรือข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับความตกลงการค้าเสรีได้ที่เว็บไซต์กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ http://ftacenter.dtn.go.th หรือศูนย์ FTA Center ชั้น 3 กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โทร 0-2507-7555


กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

19 มีนาคม 2563