รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19)
ประจำวันที่ 13 มีนาคม 2563
1.สถานการณ์ ถึงวันที่ 13 มีนาคม 2563 ณ เวลา 08.00 น.
1. ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 39 ราย กลับบ้านแล้ว 35 ราย เสียชีวิต 1 ราย รวมสะสม 75 ราย
2. ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม – 12 มีนาคม 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 5,496 ราย คัดกรองจากทุกด่าน 226 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 5,270 ราย
อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 3,992 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 1,504 ราย
3. สถานการณ์ทั่วโลกใน 123 ประเทศ 2 เขตบริหารพิเศษ 1 เรือสำราญ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม – 13 มีนาคม 2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจำนวน 132,983 ราย เสียชีวิต 4,946 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 80,796 ราย เสียชีวิต 3,169 ราย
2. สธ. ย้ำอย่าใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เน้นกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ
กระทรวงสาธารณสุข พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่ม 5 ราย เป็นการป่วยแบบกลุ่มก้อน โดย 2 รายแรก เป็นกลุ่มเพื่อนที่ร่วมสังสรรค์กับผู้ป่วย 11 รายเมื่อวานนี้ ส่วนอีก 3 รายเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดและเพื่อนที่ร่วมสังสรรค์กับผู้ป่วยรายที่ 57 เน้นยึดหลัก กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ แยกสำรับ ไม่ใช้แก้วน้ำ/ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะ แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า วันนี้ได้รับรายงานผู้ป่วยยืนยันรายใหม่ 5 ราย เป็นการป่วยแบบกลุ่มก้อน เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงกับผู้ป่วยยืนยันรายที่ผ่านมา แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 เป็นหญิงอายุ 36 ปี (นับเป็นผู้ป่วยยืนยันรายที่ 71) และชายอายุ 37 ปี (นับเป็นผู้ป่วยยืนยันรายที่ 72) ทั้ง 2 รายเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกับกลุ่มผู้ป่วย 11 ราย (ที่ได้แถลงข่าวไปเมื่อวานนี้ 12 มีนาคม 2563) กลุ่มที่ 2 เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงกับผู้ป่วยยืนยันรายที่ 57 (หญิงไทยอายุ 27 ปีกลับจากเกาหลีใต้ ปัจจุบันรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี) โดยรายที่ 1 ชายไทยอายุ 19 ปี เป็นน้องชาย สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันรายที่ 57 เริ่มป่วยเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2563 ด้วยอาการไข้ มีน้ำมูก มีเสมหะ เข้ารับการตรวจที่เอกชนเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 ปัจจุบันรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชน (นับเป็นผู้ป่วยยืนยันรายที่ 73) รายที่ 2 เป็นหญิงไทยอายุ 29 ปี เป็นเพื่อนกับผู้ป่วยยืนยันรายที่ 57 เริ่มป่วยเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2563 ด้วยอาการไข้ ไอแห้ง ไปรับการตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2563 ให้ประวัติว่า ก่อนป่วย (4 มีนาคม 2563) ไปเที่ยวสถานบันเทิงกับเพื่อนชายและเพื่อนอีก 13 คน (นับเป็นผู้ป่วยยืนยันรายที่ 74) รายที่ 3 เป็นชายไทยอายุ 37 ปี เป็นเพื่อนผู้ป่วยยืนยันรายที่ 74 เริ่มป่วยเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลรัฐเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 ด้วยอาการเจ็บคอ มีน้ำมูก (นับเป็นผู้ป่วยยืนยันรายที่ 75) ให้ประวัติร่วมสังสรรค์ที่สถานบันเทิงกับผู้ป่วยยืนยันรายที่ 74 ขณะนี้กำลังรอผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการของเพื่อนเที่ยวกลุ่มนี้อีก 8 คน
สรุปมีผู้ป่วยยืนยันที่รักษาหายแล้ว 35 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 39 ราย เสียชีวิต 1 ราย ผู้ป่วยสะสมในประเทศไทยขณะนี้ 75 ราย สำหรับผู้ป่วยอาการหนัก 1 ราย ที่รักษาตัวอยู่ที่สถาบันบำราศนราดูร ยังต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
ขณะนี้ ประเทศไทยได้เริ่มพบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อน มีผู้ป่วยหลายรุ่น (Generation) กระทรวงสาธารณสุขจะแจ้งผู้ประกอบการที่ผู้ป่วยไปรับบริการเพื่อดำเนินการทำความสะอาดตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขรวมทั้งจะค้นหากลุ่มผู้สัมผัสเพิ่มเติม เพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาดเป็นกลุ่มก้อน ขอเตือนประชาชนว่าหากป่วย มีไข้ ไอ มีน้ำมูก ให้หยุดพักอยู่ที่บ้าน รีบพบแพทย์ พร้อมให้ประวัติเสี่ยงสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ (สังสรรค์กับเพื่อนที่เดินทางมาจากพื้นที่ระบาดของโรค) ให้แยกสำรับอาหาร แยกแก้วน้ำ ของใช้ส่วนตัวกับผู้อื่น ถ้าเราร่วมมือร่วมใจปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด กักกันตนเองเป็นเวลา 14 วันเมื่อกลับจากพื้นที่ระบาดต่อเนื่อง จะช่วยให้ประเทศไทยชะลอการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างในประเทศได้
ในส่วนการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ขยายเครือข่ายความร่วมมือ มีห้องปฏิบัติการที่ผ่านการทดสอบความชำนาญทางห้องปฏิบัติการในเครือข่ายรัฐและเอกชน รวม 35 แห่ง โดยเป็นโรงพยาบาลทั้งภาครัฐ/เอกชน 20 แห่ง กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 1 แห่ง และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั่วประเทศ 14 แห่ง
3. คำแนะนำสำหรับประชาชน
ขอให้ประชาชนสถานการณ์และข้อมูลข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/ และ “ไทยรู้ สู้โควิด” ทาง Twitter, Facebook, Line official, TikTok และ “Kor-Ror-OK” ChatBot 1422 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง อย่าเชื่อข่าวลือจากทุกทาง “เช็คก่อนแชร์” ตรวจสอบข่าวลวงได้ที่ www.antifakenewscenter.com