สมุนไพรน่ารู้ อภัยภูเบศร : กล้วยน้ำว้า ยารักษาโรคกระเพาะ

กล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่มีสารอาหารครบถ้วน ทั้งคาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก วิตามินก็มีครบ ทั้งวิตามินเอ บี อี ซี แถมยังมีโอสถสารที่ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ ป้องกันมะเร็ง คลายเครียด ยิ่งไปกว่านั้นกล้วยเป็นผลไม้ที่มีโปรตีน จึงเป็นอาหารสุขภาพสำหรับเด็กน้อยและคนทุกเพศทุกวัย สำหรับคนที่มีกลิ่นปาก เพียงแค่กินกล้วยสุกหลังตื่นนอนแล้วจึงค่อยแปรงฟัน ทำอย่างนี้ประมาณ 1 สัปดาห์ กลิ่นปากจะหายไป

ถ้าพูดถึงผลไม้ที่ช่วยระบบท้องไส้ ก็คงต้องมีกล้วยเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ เพราะกล้วยเป็นผลไม้ที่เกิดมาเพื่อดูแลท้องไส้โดยเฉพาะ ไม่ว่าท้องเสีย ท้องผูก เป็นโรคกระเพาะ นอกจากนี้หยวกกล้วย ปลีกล้วย เป็นอาหารเส้นใย ทำหน้าที่เป็นพนักงานเก็บกวาดขยะของแข็งที่ตกค้างในลำไส้ได้เป็นอย่างดี ในวัฒนธรรมไทยจึงมีตำรับอาหารหลากลายจากกล้วย ทั้งอาหารหวานคาว และของว่าง

และด้วยความที่ กล้วย เป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็น ในทางการแพทย์แผนไทยจัดว่าเป็นยาเย็น เมื่อใดก็ตามที่มีอาการแสบร้อนในกระเพาะอาหาร ซึ่งถือว่าเป็นการกำเริบของธาตุไฟ การกินกล้วยจะช่วยได้ โดยสามารถกินในรูปของการตากแห้ง(กล้วยดิบ) แล้วตำเป็นผงกินกับน้ำร้อน หรือคลุกกินกับน้ำผึ้ง หรือจะกินกล้วยสุกธรรมดาๆก็ได้

มีการวิจัยโดยใช้กล้วยรักษาโรคกระเพาะพบว่า ได้ผลน่าพอใจ เนื่องจากกล้วยไปกระตุ้นให้ผนังกระเพาะสร้างเยื่อเมือกมากขึ้น เยื่อเมือกนี้จะปิดแผลทำให้แผลหายเร็ว ผู้ที่มีปัญหาแผลในกระเพาะจะค่อยๆมีอาการดีขึ้น กระเพาะแข็งแรงขึ้นโอกาสเป็นแผลก็น้อยลง แต่การใช้กล้วยรักษานี้จะไม่ไปลดกรดอันจะไปทำลายกลไกธรรมชาติของร่างกาย จนทำให้เกิดความแปรปรวนของธาตุในร่างกาย กล้วยจึงเป็นทั้งยารักษาและป้องกันโรคกระเพาะในเวลาเดียวกัน ที่สำคัญ กล้วยยังช่วยคลายเครียดจากการที่กรดอะมิโนทริปโทเฟนที่มีอยู่ในกล้วยเปลี่ยนเป็นซีโรโทนิน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้เกิดอาการผ่อนคลาย อารมณ์ผ่องใส และรู้สึกมีความสุข เรารู้กันดีว่าความเครียดเป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ กล้วยจึงช่วยรักษาโรคกระเพาะอย่างเป็นองค์รวมเลยทีเดียว

ตำรับยาแก้โรคกระเพาะ

กล้วยดิบมาฝานเป็นแว่นบางๆ แล้วอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส หรือตากแดดอ่อนๆ จนกว่าจะแห้ง ห้ามใช้ความร้อนสูงกว่านี้เด็ดขาด เพราะสารที่มีฤทธิ์รักษาโรคกระเพาะในกล้วยจะสูญเสียหรือหมดฤทธิ์ไป บดเป็นผง กินครั้งละ 1 ช้อนชา จะผสมกับน้ำผึ้งด้วยก็ได้ กินก่อนอาหารวันละ 3 เวลา