จุรินทร์ ขายดี ! นำเป็นสักขีพยาน MOU ธุรกิจตุรกี-ไทย ยอด 15,512 ล้านบาท ยางพารา-ข้าว-มันสำปะหลัง-หมอนยางพารา-อาหาร
16 พฤศจิกายน 2562 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปฏิบัติภารกิจ ในการเยือน กรุงอีสตันบูล ประเทศตุรกี วันที่ 16 พฤศจิกายน 2562 โดยเวลา 10.00 – 10.30 น. เป็นประธานการลงนามข้อตกลง หรือ MOU ในกลุ่มสินค้ายางพารา และผลิตภัณฑ์ สินค้าอาหาร ระหว่างนักธุรกิจไทยและตุรกี นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลงนามบันทึกความเข้าใจในวันนี้ เพราะตุรกีถือเป็นประเทศที่มีตลาดขนาดใหญ่มีประชากรมากถึง 80 ล้านคนมีนักท่องเที่ยวมาเยือนในแต่ละปีมากกว่า 40 ล้านคนและที่สำคัญตุรกีตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ทางการค้าที่มีความสำคัญเป็นประตูสู่ 3 ทวีป คือทั้งทวีปเอเชีย ยุโรป และแอฟริกาสามารถเชื่อมต่อการค้าได้ทั้งทางด้านเหนือ-ใต้-ตะวันตก-ตะวันออก
และนอกจากนั้นก็ยังมีความสำคัญทางการค้ากับตะวันออกกลางด้วย ตุรกีจึงเป็นตลาดที่ประเทศไทยเห็นว่ามีศักยภาพ และตุรกีเป็นตลาดที่มีความสำพันธ์ที่ดีกับประเทศไทยและประเทศไทยให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยนั้นก็ถือว่าเป็นอีกประเทศหนึ่งที่อยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่ได้เปรียบในภูมิภาคเอเชียนั้นก็คือสามารถที่จะเป็นประตูไปสู่ทวีปเอเชียได้มีเส้นทางการค้าที่สะดวกเชื่อมต่อไปยัง จีนอินเดีย และอาเซียน ซึ่งนักธุรกิจทั้งไทยตุรกีสามารถใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบเชิงสภาพภูมิศาสตร์ให้เป็นประโยชน์กับทั้งสองประเทศ
เพื่อให้เป็นประตูการค้าระหว่างกันที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งประเทศไทยและตุรกีกำลังมีการเจรจา FTAระหว่างกัน ซึ่งผมได้คุยกับท่านปลัดตั้งเป้าหมายว่าอยากจะเห็น FTA ไทย ตุรกีเสร็จในกลางปีหน้า ซึ่งการทำ FTA นั้นแม้ว่าทั้งไทยและตุรกีจะมีศักยภาพในอุตสาหกรรมเดียวกันและมีความใกล้เคียงกัน ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์อุตสาหกรรมยางพารา อุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมอัญมณี อุตสาหกรรมการเกษตร และอุตสาหกรรมอาหาร แต่ว่า FTA จะส่งผลให้การค้าทั้งไทยและตุรกีนั้นมีความเกื้อกูลกันมากกว่าที่จะแข่งขันกันเอง
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ผลที่คาดหวังหลังจากเอฟทีเอไทยตุรกีเสร็จสิ้นคาดว่าในปี 2565 การค้าระหว่างไทยตุรกีจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับรัฐบาลไทยขอเรียนให้ทราบว่ารัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับสินค้ายางพาราเป็นอย่างยิ่งเพราะประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ผลิตและส่งออกยางพารารายสำคัญของโลกสินค้ายางพาราไทยเป็นสินค้าที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานระดับสากล ซึ่งสอดรับกับที่ตุรกีเป็นประเทศนำเข้ายางพาราและผลิตภัณฑ์ยางรายสำคัญของโลกจึงเป็นโอกาสดีที่จะร่วมมือกันยกระดับตัวเลขการค้าและการลงทุนในอุตสาหกรรมยางพาราให้มีความก้าวหน้ายิ่งขึ้นต่อไป
นอกจากยางพาราแล้วรัฐบาลไทยยังให้ความสำคัญกับการส่งออกทั้งผลิตภัณฑ์การเกษตรอื่นๆไม่ว่าจะเป็นข้าว มันสำปะหลัง และอาหาร ไปยังประเทศต่างๆทั่วโลกโดยเฉพาะตลาดตุรกี ขณะเดียวกันประเทศไทยก็พร้อมที่จะนำเข้าสินค้าเกษตรของตุรกีเข้าสู่ประเทศไทยเช่นเดียวกันการเยือนธุรกิจครั้งนี้ผมได้นำนักธุรกิจทั้งจากส่วนของนักธุรกิจด้านยางพารา ข้าว มันสำปะหลัง ทูน่ากระป๋อง และอาหาร มาร่วมในกิจกรรมครั้งนี้และมาร่วมลงนาม MOU พร้อมทั้งพบปะทำ Bisiness Networking เพื่อทำธุรกิจการค้าให้ขยายตัวต่อไปอย่างเป็นรูปประธรรมมากยิ่งขึ้น
” หวังว่าการทำกิจกรรมทั้งสองอย่างในวันนี้จะสำเร็จด้วยดีและเกิดประโยชน์กับการค้าการลงทุนของทั้งสองประเทศอย่างที่คาดการณ์ไว้ สุดท้ายนี้ขอขอบคุณนักธุรกิจชาวตุรกีทุกท่านที่สละเวลาอันมีค่ามาร่วมงานในวันนี้เชื่อว่างานในวันนี้จะเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้นักธุรกิจของทั้งสองประเทศได้มีโอกาสพบปะทำความรู้จักแสดงศักยภาพของกันและกันเพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจและก้าวหน้าไปพร้อมกันอันจะนำไปสู่การขยายโอกาสทางการค้าใหม่ใหม่และยกระดับความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศต่อไป” นายจุรินทร์ กล่าว
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ แจ้งว่าสำหรับการลงนามข้อตกลง หรือ MOU ในกลุ่มสินค้ายางพารา และผลิตภัณฑ์ สินค้าอาหาร ระหว่างนักธุรกิจไทยและตุรกี ประกอบด้วย ผู้ส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ไทย บริษัทไทยฮั้ว จำกัด(มหาชน) กับ บริษัท KOLSAN TYPE ,ผู้ส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ไทย บริษัทไทยฮั้ว จำกัด(มหาชน) กับ บริษัท Sayeste Kaucak ,การยางแห่งประเทศไทย กับ Turkish Rubber Association การยางแห่งประเทศไทย กับ REP Kaucak ,ผู้ส่งออกข้าวไทย บริษัท โตมี อินเตอร์เทรด จำกัด กับ บริษัท Dervisoglu ,ผู้ส่งออกข้าวไทย บริษัท เอส อินเตอร์ ไรซ์ จำกัด กับ บริษัท Harbiyeli ,ผู้ส่งออกมันสำปะหลังไทย บริษัท SB Premier Product จำกัด กับ บริษัท Argo Pacific ,ผู้ส่งออกมันสำปะหลังไทย บริษัท Chaiyong Agricultural Silo จำกัด กับ บริษัท Argo Pacific ,ผู้ส่งออกมันสำปะหลังไทย บริษัท Thong Tapioca (1999)จำกัด กับ บริษัท Argo Pacific และ ผู้ส่งออกไทย บริษัท สุรีย์ อินเตอร์ฟู้ดส์ จำกัด กับ บริษัท Dolfin Gida
โดยรวมยอดเฉพาะช่วงเช้าวันนี้ (16พย.2562) ทั้งยางพารา 60,000 ตัน มูลค่า 2,727 ข้าว 6,000 ตัน มูลค่า 85 ล้านบาท และมันสำปะหลัง 150,000 ตัน มูลค่า 690 ล้านบาท และซอสปรุงรส 10 ล้านบาท รวม มูลค่าเบื้องต้น 3,512 ล้านบาท
จากนั้นเวลา 11.20 – 12.00 น. เวลาท้องถิ่น กรุงอีสตันบูล ประเทศตุรกี (ห่างจากประเทศไทย 4 ชม.) นายจุรินทร์ พบปะภาคเอกชนในกิจกรรม Business Networking อีกกว่า 15 ราย เพื่อแสดงศักยภาพของประเทศไทย และอุตสาหกรรมยางพาราและอาหารของไทย และสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางการค้าระหว่างนักธุรกิจไทยและตุรกี
ขณะนี้ระหว่างงาน ในกิจกรรม Business Networking มีการเจรจาได้เพิ่ม คือ ขายหมอนยางพาราได้เอ็มโออยู่ทั้งหมด 10 ล้านชิ้น กับทางการยางขายหมอนยางพาราอีก 10 ล้านชิ้นรวมเป็น 20 ล้านชิ้น มูลค่ารวมกัน 12,000 ล้านบาท
ระหว่างบริษัท JSY LATEX จากประเทศไทยนิคมอุตสาหกรรมหลักชัยเมืองยางหลักชัยเมืองยาง กับ บริษัท REPKAUCUK จากตุรกี สรุปวันนี้ทริปตุรกีวันนี้วันเดียว รวมเป็นยอดเงิน 15,512 ล้านบาท โดยเรื่มส่งมอบผลิตภัณฑ์ยางล็อตแรกได้ไนเดือนธันวาคม 2562 นี้