ดึง ‘ชุมชน-ท้องถิ่น’ จัดการภัยพิบัติ คสช. ชงข้อเสนอนโยบายเข้า ครม. ดันเป็น ‘วาระแห่งชาติ’ รับมืออนาคต

ที่ประชุม คสช. มีมติเห็นชอบข้อเสนอเชิงนโยบาย “ขับเคลื่อนการจัดการภัยพิบัติโดยชุมชนและท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง” เตรียมเสนอ ครม. ให้พิจารณาเห็นชอบเป็น “วาระแห่งชาติ” เดินหน้าทบทวนมาตรการ-แก้ไขกฎหมายเพื่อจัดการ “ภัยพิบัติ-สาธารณภัย” ให้มีประสิทธิภาพ พร้อมดึงบทบาทภาคชุมชน-ท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วม ภายใต้ระบบกลไกสนับสนุน

ที่ประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2568 ซึ่งมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธาน ได้ร่วมกันมีมติเห็นชอบข้อเสนอนโยบายการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะการจัดการภัยพิบัติโดยชุมชนและท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง พร้อมทั้งมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อเห็นชอบให้ข้อเสนอดังกล่าวเป็นวาระแห่งชาติ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามภาระหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่อไป

สำหรับข้อเสนอดังกล่าว ทาง สช. ได้ร่วมกับนักวิชาการจากสถาบันการศึกษา ภาคประชาสังคม หน่วยงานภาครัฐ เครือข่ายสื่อสาร และคณะกรรมการสมัชชาสุขภาพภาคใต้ คณะทำงานสมัชชาสร้างสุขภาคใต้ ในช่วงระหว่างเดือน ก.ย. 2567 – ม.ค. 2568 ทบทวนข้อมูลสถานการณ์ปัญหาด้านภัยพิบัติ พร้อมกับจัดเวทีรับฟังความเห็นและเวทีปรึกษาหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในหลายครั้ง ก่อนที่จะได้ออกมาเป็นเอกสารข้อเสนอเชิงนโยบายด้านการจัดการภัยพิบัติฉบับนี้

ในส่วนสาระสำคัญของข้อเสนอ เช่น การทบทวนแก้ไข พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 เพิ่มบทบาทชุมชนและท้องถิ่นในการจัดการสาธารณภัย เพิ่มประเด็นการกัดเซาะชายฝั่งให้เป็นภัยพิบัติ จัดตั้งกองทุนการจัดการภัยพิบัติโดยชุมชนและท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง จัดตั้งกลไกการประสานเพื่อเตรียมความพร้อมป้องกัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้า และฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ นำเครื่องมือการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) มาใช้ในการการติดตาม สนับสนุนข้อมูลความรู้ พัฒนาศักยภาพของบุคลากร อาสาสมัคร ภาคพลเมือง ตลอดจนจัดตั้งกลไกการดำเนินงานระดับชาติ เป็นต้น

ผศ.พงค์เทพ สุธีรวุฒิ ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติด้านสุขภาพสังคม เปิดเผยว่า เรื่อง การจัดการภัยพิบัติธรรมชาติโดยชุมชนท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง ได้เป็นมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2554 ซึ่ง ครม. มีมติรับทราบเมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2555 และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ สอดคล้องกับเป้าหมายสากลที่ประเทศไทยได้ร่วมให้การรับรองไว้ ไม่ว่าจะเป็นกรอบแนวทางการจัดการภัยพิบัติระดับโลก Post-2015 Framework for Disaster Risk Reduction ระยะ 15 ปี (พ.ศ. 2558-2573) ปฏิญญาเซนได (Sendai Declaration) รวมไปถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ข้อ 13 เป็นต้น

ผศ.พงค์เทพ กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยเองให้ความสำคัญกับการจัดการภัยพิบัติ โดยมีความก้าวหน้าของการดำเนินนโยบายส่วนหนึ่ง แต่ต้องยอมรับว่าการจัดการภัยพิบัติของประเทศไทยยังต้องเผชิญกับความท้าทายอีกหลายประการ จากช่องว่างที่ยังมีอยู่ไม่ว่าจะเป็นในด้านนโยบาย ที่แผนระดับชาติและแผนระดับท้องถิ่นยังไม่สามารถนำสู่การปฏิบัติได้จริง หรือในส่วนของกฎหมายที่ยังขาดความครอบคลุม ไม่เอื้อต่อการจัดการภัยพิบัติในระดับท้องถิ่น ไปจนถึงข้อจำกัดต่อการรับมือก่อนเกิดภัยและหลังเกิดภัย ทั้งระบบแจ้งเตือนภัย การซ้อมแผน การชดเชยเยียวยา ระบบฐานข้อมูลที่กระจัดกระจาย ตลอดจนระบบการสื่อสารที่ขาดเอกภาพ สร้างความสับสน ฯลฯ

“ช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ทั่วโลกต่างเผชิญปัญหาท้าทายจากภาวะโลกร้อนที่เข้าสู่ยุคโลกเดือด เกิดวิกฤตการณ์ต่างๆ ที่รุนแรงและถี่มากขึ้น ประเทศไทยเองเมื่อปีที่แล้วเราก็เผชิญกับภัยพิบัติอุทกภัยที่สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงในหลายจังหวัด ทั้งหมดนี้มีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องทบทวนมาตรการและวางแผนรับมือ เพื่อให้พร้อมรับกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต โดยจากการถอดบทเรียนสรุปได้ว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการจัดการภัยพิบัติคือการให้ชุมชน ท้องถิ่น ได้เข้ามามีส่วนร่วมจัดการ” ผศ.พงค์เทพ กล่าว

นายไมตรี จงไกรจักร์ กรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า แม้เราจะผ่านเหตุการณ์สึนามิมาเป็นเวลากว่า 20 ปี แต่ระบบการรับมือภัยพิบัติของภาครัฐก็ต้องยอมรับว่ายังไม่ถูกพัฒนาไปได้ดีเท่าที่ควร ไม่ว่าจะด้วยข้อจำกัดจากระบบระเบียบราชการ หรือโครงสร้างหน่วยงานที่ขาดการบูรณาการ โดยเฉพาะกฎหมาย พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยฯ ซึ่งเน้นไปที่การประกาศภัยพิบัติ และให้อำนาจการบริหารจัดการต่อเมื่อเกิดภัยพิบัติแล้วเท่านั้น แต่ในกรณีก่อนเกิดภัยพิบัติกลับไม่มีใครมีอำนาจโดยตรงที่จะเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้

นายไมตรี กล่าวว่า สิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการรับมือกับภัยพิบัติ จึงจำเป็นที่จะต้องมีการกระจายอำนาจให้ภาคท้องถิ่นและชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมกันในการจัดการ ภายใต้การมีทรัพยากรเข้ามาสนับสนุน ซึ่งปัจจุบันไม่ว่าชาวบ้าน อาสาสมัคร หรือชุมชนล้วนมีความพร้อม ขาดเพียงแต่โอกาสและความไว้เนื้อเชื่อใจจากภาครัฐในการเตรียมการรับมือ จึงอยากให้ข้อเสนอเชิงนโยบายนี้ได้รับการนำไปขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม

ขณะที่ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.) กล่าวว่า จากประสบการณ์ที่ได้เข้าไปทำหน้าที่เป็นประธานศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) จ.เชียงราย พบว่าบทบาทความร่วมมือของภาคประชาชน อาสาสมัครกู้ภัย ฯลฯ เป็นส่วนสำคัญในการเข้ามาช่วยกันทำให้งานต่างๆ เดินหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว จึงเชื่อว่าควรจะเพิ่มช่องทางให้กลุ่มเหล่านี้ได้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านของกฎหมายที่ต้องปรับปรุงแก้ไข หรือการฝึกซ้อมเพื่อเตรียมความพร้อมเผชิญเหตุ หากได้รวบรวมให้เข้ามามีส่วนร่วมเสนอความเห็นในด้านต่างๆ ก็น่าจะเป็นประโยชน์อย่างมาก

 

ด้าน นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการ คสช. กล่าวว่า เรื่องภัยพิบัติเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและมีผลกระทบกับผู้คนในวงกว้าง ดังนั้นความสำคัญนอกจากการมีข้อเสนอนโยบายเหล่านี้แล้ว ยังเป็นการร่วมกันเดินหน้าผลักดันเพื่อให้สิ่งต่างๆ ได้รับการนำไปขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม ที่ประชุมจึงยังได้มอบหมายให้ สช. ประสานกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เสนอข้อเสนอนโยบายดังกล่าวต่อคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช.) เพื่อพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอ รวมถึงมอบหมายให้คณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (คมส.) ติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเรื่องนี้ต่อไป

นอกจากนี้ ที่ประชุม คสช. ยังได้มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการกำลังคนด้านสุขภาพแห่งชาติ ชุดใหม่ซึ่งมี นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ เป็นประธาน แทนชุดเดิมที่ครบวาระ โดยมีหน้าที่และอำนาจในการวางแผนยุทธศาสตร์กำลังคนด้านสุขภาพ พัฒนาข้อเสนอ รวมทั้งสนับสนุนหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ให้มีการดำเนินงานที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์กำลังคนด้านสุขภาพ และกรอบทิศทางนโยบายของมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 17 เรื่อง พลิกโฉมกำลังคนเพื่อสังคมสุขภาวะ รวมไปถึงสร้างองค์ความรู้ การวิจัย และนวัตกรรมเรื่องกำลังคนในระบบสุขภาพของประเทศ เพื่อนำมาใช้ในการปรับหรือพัฒนาแผนพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพแห่งชาติ และการดำเนินงานขับเคลื่อนเรื่องกำลังคนด้านสุขภาพ ให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศ และเพื่อเอื้อให้เกิดความยั่งยืนของระบบสุขภาพของประเทศต่อไป