“อัครา” นำทีมขับเคลื่อนเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำจืดในแหล่งน้ำชุมชนกว่า 6,000 ตัน มูลค่า 450 ล้านบาท และแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ 

วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ให้การต้อนรับและกล่าวรายงาน นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิด “กิจกรรมบริหารจัดการทรัพยากรประมงน้ำจืด การเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำในแหล่งน้ำชุมชน เพื่อเพิ่มรายได้และลดค่าครองชีพของประชาชน ปี 2568” ด้วยการปล่อยพันธุ์ปลาน้ำจืดเศรษฐกิจ จำนวน 37,600 ตัว และพันธุ์กุ้งก้ามกราม จำนวน 40,000 ตัว ลงในอ่างแฝด แหล่งน้ำชุมชนขนาด 45 ไร่ หมู่ที่ 8 บ้านใหม่ดอนชัย อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่

นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า กรมประมงขานรับนโยบายเร่งด่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ซึ่งนอกจากจะมีการออกประกาศกรมประมง เรื่อง มาตรการบริหารจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ภาคการเกษตร ด้านการประมง พ.ศ. 2568 ลงวันที่ 21 มกราคม 2568 โดยมุ่งเน้นการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กลดการเผาในพื้นที่การเกษตรอย่างจริงจัง ไม่สนับสนุนเกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกรที่มีประวัติทำการเผาในพื้นที่การเกษตร ให้ได้รับการสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพเกษตรกรด้านการประมง รวมทั้งโครงการต่าง ๆ ทุกโครงการทางด้านการประมงด้วย

สำหรับพิธีปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ ภายใต้ “กิจกรรมบริหารจัดการทรัพยากรประมงน้ำจืด การเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำในแหล่งน้ำชุมชน เพื่อเพิ่มรายได้และลดค่าครองชีพของประชาชน ปี 2568” ในวันนี้ ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งในการช่วยลดการเผาลดการเกิดมลพิษ ลดฝุ่น PM2.5 เนื่องจากในกิจกรรมดังกล่าวนี้จะใช้ฟางข้าวเป็นอาหารธรรมชาติ จำนวนไม่น้อยกว่า 1,000 กิโลกรัม เพื่อเป็นอาหารธรรมชาติสำหรับสัตว์น้ำจืดเศรษฐกิจที่ปล่อยลงในอ่างแฝด จำนวน 7 ชนิด ได้แก่ ปลาเกล็ดเงิน (ปลาจีน) ปลายี่สกเทศ ปลาตะเพียนขาว ปลาบ้า ปลานิล ปลาบึก จำนวน 37,600 ตัว และกุ้งก้ามกรามขนาด 5 เซนติเมตร จำนวน 40,000 ตัว รวมทั้งสิ้น 78,600 ตัว โดยกิจกรรมดังกล่าวดำเนินการในแหล่งน้ำปิดของชุมชนอื่น ๆ (ขนาด 10 – 60 ไร่) ทั่วประเทศอีก รวม 1,500 แหล่งน้ำ (พื้นที่ประมาณ 47,268 ไร่) ใน 70 จังหวัด รวมทั้งโครงการจะปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำจืดเศรษฐกิจ รวมจำนวนทั้งสิ้น 116.4 ล้านตัว (77,600 ตัว/แหล่งน้ำ) และจะใช้ฟางข้าวเป็นอาหารธรรมชาติให้กับสัตว์น้ำที่ปล่อยในแหล่งน้ำ ซึ่งทั้งโครงการดังกล่าวจะใช้ฟางข้าวรวมแล้วไม่น้อยกว่า 1,500 ตัน ช่วยเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำจืดเศรษฐกิจในแหล่งน้ำชุมชนได้ไม่น้อยกว่า 6,000 ตัน คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 450 ล้านบาท (กุ้งก้ามกราม ประมาณ 300 ตัน มูลค่า 165 ล้านบาท ปลาน้ำจืดเศรษฐกิจ ประมาณ 5,700 ตัน มูลค่า 285 ล้านบาท) ที่สำคัญทำให้เกษตรกรมีองค์ความรู้ในการจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรได้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์ในระยะยาวทั้งด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม สามารถช่วยลดการเผาฟาง ลดปริมาณคาร์บอนได้กว่า 18,529 กิโลกรัมคาร์บอน และลดการเกิดฝุ่น PM2.5 ได้มากกว่า 2,750 ตัน

อธิบดีฯ กล่าวในตอนท้ายว่า กรมประมง มุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการดังกล่าวข้างต้นจะสามารถช่วยแก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ได้อย่างจริงจัง และช่วยส่งเสริมเพิ่มรายได้ลดค่าครองชีพให้กับเกษตรกรและประชาชน โดยให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการแหล่งน้ำชุมชนให้เป็นแหล่งผลิตสัตว์น้ำจืดเศรษฐกิจ ตลอดจนช่วยฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจในแหล่งน้ำให้คืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับชุมชนเป็นการสร้างแหล่งอาหารโปรตีนด้วยการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรประมงโดยชุมชนเพื่อชุมชน กลายเป็นแหล่งประกอบอาชีพให้กับเกษตรในพื้นที่ สามารถเพิ่มรายได้ ลดค่าครองชีพ ช่วยให้เกิดความมั่นคงในชีวิต สอดรับกับนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มุ่งหมายให้ทรัพยากรมีความยั่งยืนควบคู่ไปกับคุณภาพชีวิตพี่น้องเกษตรกรต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ในกระเป๋ามีตังค์”

ทั้งนี้ เกษตรกรหรือประชาชนผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด กรมประมง โทรศัพท์ 0 2562 0585 หรือสำนักงานประมงในพื้นที่ดำเนินโครงการฯ