นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีข้อกังวลเกี่ยวกับการแก้ไขมาตรา 66 ของ พ.ร.ก. การประมงฉบับใหม่ จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าประมงไปยังสหรัฐอเมริกา เนื่องจากมีหนังสือจากองค์การสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Oceanic and Atmospheric Administration: NOAA ) แจ้งผลการพิจารณามายังประเทศไทยว่าเครื่องมือประมงบางชนิดมีผลกระทบต่อสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนมเกินเกณฑ์ที่กำหนด นั้น
กรมประมงขอชี้แจงว่า สหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมายว่าด้วยการนำเข้าสินค้าสัตว์น้ำเพื่อคุ้มครองสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม Marine Mammal Protection Act 1972 และที่แก้ไขเพิ่มเติมปี 1992 และ 1994: (MMPA) โดยมีสาระสำคัญส่วนหนึ่งกำหนดให้ประเทศคู่ค้ากว่า 130 ประเทศทั่วโลก ต้องส่งข้อมูลสินค้าสัตว์น้ำที่ต้องการส่งออกว่าไม่ได้มาจากการจับสัตว์น้ำที่กระทบต่อการบาดเจ็บ ตาย และการดำรงอยู่ของสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม เพื่อให้ทางสหรัฐอเมริกาประเมินความเท่าเทียมทางกฎหมาย (Comparability Findind) ที่เกี่ยวข้องกับ MMPA ระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าทั่วโลก และได้มีการขยายระยะเวลาการบังคับใช้กฎหมายจาก 1 มกราคม 2566 เป็น 1 มกราคม 2569 นั้น กรมประมงและกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในฐานะคณะอนุกรรมการฯ ภายใต้คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ ได้มีการจัดส่งข้อมูลการดำเนินการของประเทศไทยภายใต้กฎหมาย MMPA ให้กับสหรัฐอเมริกามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560 จนล่าสุดประเทศไทยได้ยื่นประเมินความเท่าเทียม ผ่านระบบ International Affairs Information Capture and Reporting System: IAICRS เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 โดยมีรายละเอียดการยื่นรายการสินค้าในกลุ่มที่ได้จากเครื่องมือประมงที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการตายของสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนมเกินเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด (Export fisheries) จำนวน 27 รายการ จาก 15 เครื่องมือประมงที่ทำการประมงในประเทศไทย เช่น ลอบหมึกสาย อวนล้อมจับ อวนลากคู่ อวนติดตา เป็นต้น และความเคลื่อนไหวล่าสุด เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2568 ทาง NOAA ได้แจ้งผลการพิจารณาเบื้องต้นของประเทศไทยตามกฎหมาย MMPA โดยระบุว่ารายการประมงที่ 2425 สัตว์น้ำที่ได้จากเครื่องมือประมงอวนติดตาพื้นที่ฝั่งอ่าวไทยมีผลกระทบต่อโลมาอิรวดีเกินเกณฑ์ที่กำหนด และขอให้ประเทศไทยส่งข้อมูลเพิ่มเติมภายในวันที่ 1 เมษายน 2568 ซึ่งภายหลังจากที่ทราบผลการพิจารณากรมประมงได้เร่งจัดประชุมหน่วยงานภายในและหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วนในการจัดทำข้อมูลเพิ่มเติมตามที่ NOAA แจ้ง เพื่อป้องกันมิให้สินค้าประมงจากเครื่องมืออวนติดตา ได้แก่ สัตว์น้ำกลุ่มปลาทู ปลาลัง ปลาอินทรี ปลาจาระเม็ด ปลาหลังเขียว ได้รับผลกระทบด้านการส่งออก ซึ่งปัจจุบันสัตว์น้ำกลุ่มนี้มีปริมาณการส่งออกประมาณปีละ 930 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 250 ล้านบาทต่อปี
อธิบดีฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อกังวลในการแก้ไข พ.ร.ก. การประมงปี 2558 มาตรา 66 ที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินมาตรการคุ้มครองสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนมดังกล่าว กรมประมงขอเรียนว่า การปรับแก้กฎหมายในมาตราดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยชีวิตสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม ในกรณีที่ติดเรือหรือติดเครื่องมือทำการประมงโดยบังเอิญและชาวประมงได้ปล่อยลงทะเลในทันทีโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยชีวิตให้ถือว่าไม่มีความผิด และเพิ่มเติมให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ดูแลสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม มีอำนาจในการสำรวจ ศึกษาวิจัย และสำหรับหน่วยงานอื่นที่ต้องการศึกษาวิจัยสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนมยังคงต้องขออนุญาตจากอธิบดีกรมประมงเป็นกรณีไป ส่วนการกระทำอื่นใดที่ยังเป็นการกระทำโดยจงใจเพื่อจับ ล่า หรือทำให้เกิดอันตรายต่อสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม ยังคงเป็นความผิดที่ต้องรับโทษตามกฎหมาย และยังมีความผิดตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 อีกด้วย นอกจากนี้ กรมประมงยังได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดทำแผนปฏิบัติการระดับชาติเพื่อการอนุรักษ์และบริหารจัดการสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม พ.ศ. 2566 – 2570 เพื่อบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการบริหารจัดการการอนุรักษ์สัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนมในประเทศไทยให้เกิดความยั่งยืน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศคู่ค้าในการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนมของประเทศไทย