สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับมูลนิธิสานพลังเพื่อแผ่นดิน (มสผ.) และองค์กรร่วมจัดอีก 10 องค์กร ระดมสมองภาคีเครือข่ายกว่า 50 องค์กร ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม จัดเวที “สานพลังไทยรับมือสังคมสูงวัยไปด้วยกัน (Smart Aging Society : Together , We can)” เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะต่อการรับมือสังคมสูงวัยในมิติสิ่งแวดล้อม สภาพแวดล้อมและบริบทที่เกี่ยวข้อง (Environment and Eco-system)
นพ.อำพล จินดาวัฒนะ ผู้ทรงคุณวุฒิ, อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.), อดีตประธานกรรมาธิการปฏิรูปประเทศด้านสังคม สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นเวทีส่วนกลางครั้งที่ 2 ว่าด้วยมิติสภาพแวดล้อม ซึ่งส่วนใหญ่มักจะติดอยู่กับคำว่า “สิ่งแวดล้อม” เนื่องจากในภาษาอังกฤษใช้คำเดียวกันคือ Environment แต่คำว่าสภาพแวดล้อมนั้นความหมายใหญ่กว่ามาก เพราะเกี่ยวกับระบบโครงสร้าง ซึ่งระยะหลังๆ หลายคนก็ไปใช้คำว่า Ecosystem (ระบบนิเวศ) หรือ Context (บริบท)
ทั้งนี้ องค์การสหประชาชาติ (UN) กำหนดตัวชี้วัดคำว่าสังคมสูงวัยด้วยสัดส่วนประชากร 60 ปี หรือ 65 ปีขึ้นไป ซึ่งในกรณีของประเทศไทยใกล้ถึงขั้นสังคมสูงวัยระดับสุดยอดแล้ว ซึ่งปกติคำว่าสุดยอดต้องหมายถึง ยอดเยี่ยม แต่เรื่องนี้ดูจะไม่ค่อยยอดเยี่ยมเท่าไร แต่เราก็ต้องมองในอีกนัยหนึ่งว่าสังคมไทยต้องทำให้สูงวัยแบบยอดเยี่ยมได้ จึงเป็นที่มาของชื่อเวที สานพลังไทยรับมือสังคมสูงวัยไปด้วยกัน (Smart Aging Society :Together ,We Can) คือไม่ใช่มองแค่ปัญหา หากมีปัญหาก็ต้องหาทางแก้ไข และหากมีสิ่งที่ดีอยู่แล้วก็ต้องต่อยอดยกระดับ
“ไม่มีทางที่ใครหรือหน่วยงานภาคส่วนใดจะทำสำเร็จเพียงลำพังเท่านั้น ถ้าเราช่วยกันทำ ไม่ต้องไปรอใครออกวาระแห่งชาติ ไม่ต้องไปเรียกร้องให้ใคร หรือรัฐทำ แต่พวกเราต้องช่วยกันทำ” นพ.อำพล กล่าว
นายต่อพงศ์ เสลานนท์ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า ปัจจัยที่จะนำไปสู่สังคมที่นับรวมครอบคลุมทุกคน (Inclusive Society) มี 3 ประการ คือ 1.การเสริมพลัง (Empower) หมายถึงการเติมความรู้ เสริมทักษะ ให้ข้อมูลต่างๆ อย่างต่อเนื่องกับประชากรทุกวัย ไม่ว่าเด็ก วัยทำงานหรือผู้สูงอายุ ซึ่งอาจเรียกว่าเป็นการศึกษาตลอดชีวิต โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้คนสามารถใช้สิทธิเสรีภาพได้อย่างเต็มที่ หรือสามารถเลือกกำหนดชีวิตของตนเองได้ (Self Determination)
2.การมีส่วนร่วม (Participation) เมื่อคนมีความรู้และความมั่นใจ การมีส่วนร่วมก็จะมีประสิทธิภาพหรือคุณภาพตามมา นำไปสู่การเกิดนวัตกรรมต่างๆ ขึ้นมา และ 3.การเข้าถึง (Accessibility) แม้บุคคลจะมีความพิการทางร่างกาย แต่หากสภาพแวดล้อมทั้งทางกายภาพและเทคโนโลยีเอื้ออำนวยต่อการใช้ชีวิต สิ่งที่เรียกว่าความพิการก็จะไม่เกิด
ขณะนี้ทาง กสทช. ได้จัดทำแนวคิด “โมเดล 10 นิ้ว เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับคนทุกวัย” จะแบ่งสภาพแวดล้อมเป็น 2 ส่วน คือ “มือขวา-สภาพแวดล้อมทางกายภาพ” ประกอบด้วย 1.การออกแบบเมือง (Urban Design) สาธารณูปโภคต่างๆ ในเมือง 2.ภูมิทัศน์ (Landscape) ระยะทางระหว่างรั้วถึงอาคาร 3.สถาปัตยกรรม (Architectural) หมายถึงตัวอาคาร 4.การตกแต่งภายในอาคาร (Interior) และ 5.การออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product Design) โดยทั้ง 5 ข้อนี้จะเน้นหลักอารยสถาปัตย์ (Universal Design) กับ “มือซ้าย-เทคโนโลยีและมนุษย์” ประกอบด้วย 1.คนหรือผู้ใช้งาน (Users) ซึ่งมีความแตกต่าง เช่น สภาพร่างกาย 2.ทักษะ (Skill) ซึ่งเกิดได้ทั้งจากภูมิหลังของคนและจากได้รับการศึกษาฝึกอบรมต่างๆ 3.อุปกรณ์อัจฉริยะ (Smart Devices) ซึ่งปัจจุบันไม่ได้มีแต่โทรศัพท์ (Smartphone) แต่รวมไปถึงยานพาหนะและเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน การออกแบบต้องยืดหยุ่นกับผู้ใช้งานทุกกลุ่ม 4.ซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชั่น (Software , Application) ซึ่งทุกวันนี้เครื่องใช้ไฟฟ้าทำได้มากกว่าในอดีต 5.การเชื่อมต่อ (Connectivity) ซึ่งมีคำว่าอินเตอร์เน็ตของทุกสรรพสิ่ง (Internet of Things –IoT) หมายถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่ออกแบบให้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้
“ถ้านโยบาย วิธีคิด หรือการจัดการทั้งหลายทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ลองพิจารณาสิ่งเหล่านี้ดูว่าในการออกแบบ ในการบริการ หรือในการผลิตนโยบายใดๆ ว่าเราคำนึงถึงปัจจัยที่นำมาสู่การออกแบบที่ครอบคลุมและสังคมที่นับรวมครอบคลุมทุกคนได้อย่างครบถ้วนแล้ว ผมก็เชื่อว่าสังคมที่อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันก็คงไม่ไกลเกินเอื้อม” นายต่อพงศ์ กล่าว
รศ.ไตรรัตน์ จารุทัศน์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ที่ผ่านมา ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางการออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน (Center of Excellence in Universal Design) คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เข้าไปร่วมทำโครงการปรับปรุงบ้านในชุมชนต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และอีกหลายจังหวัด พบกับความประทับใจ แม้งบประมาณปรับปรุงบ้านที่หน่วยงานของรัฐให้มาไม่เพียงพอ แต่ชาวบ้านในชุมชนก็ช่วยกันรื้อบ้านเก่าสภาพทรุดโทรมนั้นแล้วสร้างให้ใหม่
“เราไปสัมภาษณ์หลังจากนั้น รับรู้ได้ถึงกำลังใจและลุกขึ้นมาสู้อีกครั้งหนึ่ง คือ มิติในการปรับปรุงบ้านมันมีมากกว่าทางกายภาพ มันมีมิติทางเศรษฐกิจ เค้าสามารถลุกขึ้นมาดูแลตัวเองได้ และได้รับการยอมรับ เมื่อพูดถึงเรื่องสังคมสูงวัยให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคมก่อน แต่ในทางกลับกันถ้าสภาพแวดล้อมไม่ดี อีก 3 มิติก็จะพังได้” รศ.ไตรรัตน์ กล่าว
นายกฤษณะ ละไล ประธานมูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล กล่าวว่า อารยสถาปัตย์เป็นแนวคิดที่ทำให้ผู้สูงวัย ตลอดจนผู้พิการ สามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระ ลดการเป็นภาระพึ่งพาบุคคลอื่นให้น้อยที่สุด เช่น ทางลาด ลิฟต์ ห้องน้ำที่ออกแบบให้เอื้อต่อการใช้งานของคนทุกช่วงวัยและทุกสภาพร่างกาย ทั้งนี้มีข้อมูลว่า ร้อยละ 80 ของผู้สูงอายุชีวิตเปลี่ยนในห้องน้ำจากกานพลัดตกหกล้ม ห้องน้ำจึงเป็นตัวกำหนดคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ และจากการสำรวจห้องน้ำทั้งในไทยและอีกหลายประเทศ พบว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีห้องน้ำที่ตอบโจทย์ผู้สูงอายุและความเสมอภาคเท่าเทียมในระดับสูงมาก และมาตรฐานนี้ถูกใช้อย่างทั่วถึงไม่ว่าในหรือนอกเมือง
“ตอนนี้ผมกำลังผลักดันเตียงพับในห้องน้ำเพื่อพ่อแม่ใช้เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก ผู้สูงอายุหรือผู้พิการ ผู้ป่วยระยะพักฟื้นได้ใช้ในการเปลี่ยนกางเกง ทำให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี ออกจากบ้านได้นานขึ้น โมเดลใหม่ห้องสุขาประเทศไทย ตามกฎของกระทรวงมหาดไทยต้องปรับแก้กฎกระทรวงซึ่งเขียนมาแล้ว 20 ปี ใช้โมเดลเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 เมตร เป็น 2×2 เมตรโดยประมาณ แต่อนาคตอันใกล้ไม่พอแล้ว ต้องเป็น 2×3 เพราะต้องรองรับเตียงพับผนังในห้องน้ำ” นายกฤษณะกล่าว
นอกจากนี้นเวทีดังกล่าวหน่วยงานภาครัฐ นักวิชาการ ประชาสังคม เอกชนที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อม และเทคโนโลยีได้แลกเปลี่ยนข้อมูล และให้ข้อเสนอแนะต่อการปรับสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับคนทุกกลุ่ม การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมไปถึงระบบอภิบาลที่ทุกฝ่ายต้องมีส่วนร่วมเพื่อรับมือสังคมสูงวัย เพื่อสังเคราะห์ข้อเสนอสู่การพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายต่อไป
หมายเหตุ : สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/NHCO.thai/videos/1153734916358099/