เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2567 เวลา 17.00 น. นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานงานแห่วันวิชัยทัศมิ ประจำปี 2567 โดยมี นายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา พร้อมด้วย ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้นำองค์การศาสนา ศาสนิกชน องค์กรเครือข่าย ประชาชน และสื่อมวลชน เข้าร่วมในพิธี ณ วัดพระศรีมหาอุมาเทวี เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร
นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว. วธ.) กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา ได้ดำเนินนโยบายร่วมกับองค์การศาสนา 5 ศาสนา จัดโครงการเทศกาลประเพณีทางศาสนา 5 ศาสนา ประกอบด้วย กิจกรรม “เสน่ห์วันวาน เทศกาลงานวัด” ของศาสนาพุทธ “วันอาซูรอสัมพันธ์” ของศาสนาอิสลาม “เทศกาลแห่ดาวคริสต์มาส” ของศาสนาคริสต์“เทศกาลนวราตรี”, “เทศกาลดิวาลี” ของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู และ “วันครบรอบ 555 ปี วันคล้ายวันประสูติคุรุนานักซาฮิบ องค์ปฐมศาสดา” ของศาสนาซิกข์ เพื่อส่งเสริม Soft Power ในมิติศาสนา 5 ศาสนา สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและเทศกาลในมิติศาสนา เสริมสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยให้มั่นคง และสร้างความเข้าใจอันดีต่อกันระหว่างศาสนิกชนส่งผลให้เกิดความสงบสันติสุขของสังคม ศาสนิกชนทุกศาสนาอยู่ร่วมกันด้วยความรักสามัคคีสืบต่อไป
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว. วธ.) กล่าวต่อไปว่า กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา ได้ร่วมกับองค์การทางศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ในประเทศไทย ประกอบด้วย สำนักพราหมณ์ราชครู ในสำนักพระราชวัง สมาคมฮินดูสมาช สมาคมฮินดูธรรมสภา และวัดพระศรีมหาอุมาเทวี (วัดแขกสีลม) จัดงานเทศกาลนวราตรีระหว่างวันที่ 2 – 14 ตุลาคม 2567 ณ วัดพระศรีมหาอุมาเทวี (วัดแขกสีลม) แขวงบางรัก เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร เพื่อขับเคลื่อน Soft Power ในมิติศาสนา ด้านการท่องเที่ยวและเทศกาล กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนรอบศาสนสถาน ส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่ศาสนิกชนจะได้มีโอกาสร่วมสืบสานอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม และก่อให้เกิดความศรัทธาและความเชื่อ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว โดยเทศกาลดังกล่าว เป็นช่วงเวลาที่ศาสนิกชนชาวฮินดูบูชาพระแม่อุมาเทวี จากความเชื่อตามตำนานที่พระแม่อุมาเทวี ได้ปราบอสูรที่ชื่อว่า “มหิษาสูร” ที่สร้างความเดือดร้อนวุ่นวายไปทั่ว เหล่าทวยเทพจึงอัญเชิญพระแม่อุมาเทวีในร่างอวตารเป็นองค์ “พระแม่ทุรคา” ซึ่งสู้รบกับมหิษาสูรตลอดทั้ง 9 วัน 9 คืน และปราบลงได้สำเร็จในวันที่ 10 ศาสนิกชนจึงได้จัดพิธีขึ้นเพื่อบูชาพระแม่อุมาเทวีในชัยชนะครั้งนี้ และในวันที่ 10 คือ วันสุดท้ายของเทศกาล เรียกว่า “วันวิชัยทศมิ” หรือ “วันรามนวมี” อันมีความหมายถึงวันเฉลิมฉลองในชัยชนะในคืนที่สิบซึ่งแสดงถึงธรรมะที่สามารถชนะอธรรม และการมีปัญญา ศาสนิกชนจะมีการนำเทวรูปพระแม่อุมาเทวีและเทวรูปอื่นๆ ขึ้นขบวนแห่ไปบนเส้นทางเพื่อรับบารมีจากองค์เทพในคืนนี้ ตลอดเทศกาลศาสนิกชนจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าใหม่ ๆ สวยงาม เต้นรำ ร้องเพลง และเฉลิมฉลองกันตลอดทั้งวันทั้งคืน
สำหรับขบวนแห่วันวิชัยทัศมิ ประจำปี 2567 ซึ่งเป็นไฮไลต์ของงาน มีขึ้นในวันที่ 12 ต.ค. 67 เป็นอีกหนึ่งพิธีกรรมที่ได้รับความสนใจอย่างมาก ถือเป็นการแห่เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะขององค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวี ในภาคพระแม่ทุรคา ที่มีชัยต่อมหิษาสูร ที่ทรงอำนาจมากและไม่มีเทพองค์ใดสามารถทำลายลงได้ เป็นเวลา 9 วัน 9 คืน กระทั่งสามารถเอาชนะเหนืออสูรร้ายได้ในวันที่ 10 ตามตำนาน ซึ่งในขบวนแห่ดังกล่าว ประกอบด้วยรถแห่ จำนวน 8 ขบวน คือ ขบวนคนทรงองค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวี ขบวนคนทรงองค์พระขันธกุมาร ขบวนคนทรงองค์พระแม่กาลี ขบวนราชรถองค์พระพิฆเนศวร ขบวนราชรถองค์พระขันธกุมาร ขบวนราชรถองค์พระกฤษณะขบวนราชรถองค์พระกัตตวรายัน และขบวนราชรถองค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวี พระแม่มหาลักษมี และพระแม่มหาสรัสวตี ซึ่งก่อนขบวนราชรถคันใหญ่ขององค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวี พระแม่มหาลักษมี และพระแม่มหาสรัสวตี จะมีพิธีที่เรียกว่า ทุบมะพร้าว โดยสานุศิษย์จะปามะพร้าวลงบนพื้น โดยเชื่อว่ามะพร้าวเปรียบเสมือนผลไม้แห่งพระเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์ และสะอาด ชาวฮินดูมีความเชื่อว่าการทุบมะพร้าวเบื้องหน้าพระพักตร์ของเทวรูปที่นับถือ เป็นการแสดงถึงการทำลายหรือละทิ้งอัตตาของตนเอง พร้อมทั้งน้อมกายถวายตนแด่พระผู้เป็นเจ้า โดยขบวนแห่เริ่มเคลื่อนออกจากวัดพระศรีมหาอุมาเทวี (วัดแขก สีลม) และในวันที่ 14 ต.ค. 67 เป็นวันสุดท้ายของเทศกาลนวราตรี ประจำปี 2567 จะมีพิธีอัญเชิญธงสิงห์ลง และพิธีอาบน้ำคณะพราหมณ์และคณะคนทรง ซึ่งหลังจากเสร็จพิธีคณะพราหมณ์จะนำสายสิญจน์ที่ผ่านการทำพิธีตลอดทั้ง 10 วัน มาผูกข้อมือให้แก่สานุศิษย์ผู้ศรัทธา
นอกจากนี้ ภายในงานดังกล่าว ยังมีการจัดกิจกรรมบูชาองค์เทพที่สำคัญของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ที่เป็นที่เคารพนับถือของศาสนิกชน อาทิ พิธีบูชาองค์พระพิฆเนศวร เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ ตามคติฮินดูที่ว่า ก่อนเริ่มบูชาเทพทุกองค์ต้องเริ่มบูชาจากองค์พระพิฆเนศวรก่อนเสมอ พิธีบูชาเทพประจำแผ่นดิน และเทพแห่งดาวนพเคราะห์ทั้งเก้า เพื่อขอจัดงานนวราตรีประจำปี 2567 เมื่อกำหนดการทั้งหมดเสร็จสิ้น จะมีพิธีบูชาพระแม่ทั้ง 3 ตลอดทั้งวันเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว พิธีอัญเชิญธงสิงห์ขึ้นเสา พิธีบูชาองค์พระแม่มหาทุรคาเทวี เทพแห่งอำนาจ บารมี พิธีบูชาองค์พระแม่มหาลักษมีเทวี เทพแห่งความมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ พิธีบูชาพระแม่มหาสรัสวตีเทวี เทพแห่งศิลปวิทยาการ พิธีบูชาองค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวี และองค์พระศิวะมหาเทพ และพิธีบูชาพระแม่มหาสรัสวตีเทวี เทพแห่งศิลปวิทยาการ และพิธีสยุมพรองค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวีและองค์พระศิวะมหาเทพ เป็นพิธีอภิเษกสมรสขององค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวีและองค์พระศิวะมหาเทพ ซึ่งจะมีการจัดรูปแบบของขบวนขันหมากและพิธีอภิเษกตามความเชื่อของศาสนาฮินดู โดยจัดเพียง 1 ครั้งในรอบปีเท่านั้น จึงเป็นพิธีกรรมที่ได้รับความสนใจจากศาสนิกชน และคู่รักหรือคู่ครองที่จะมาขอพรเพื่อการแต่งงาน และการสมหวังในความรัก ศาสนิกชนที่เข้าร่วมในพิธีอภิเษกสมรสขององค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวีและองค์พระศิวะมหาเทพจะได้ร่วมในขบวนแห่ขันหมาก ซึ่งประกอบด้วยขนมมงคลบนถาดบูชาสำหรับถวายองค์เทพ โดยเมื่อจบพิธีศาสนิกชนสามารถนำกลับไปรับประทานเพื่อสิริมงคลได้
ทั้งนี้ ข้อควรปฏิบัติในการเข้าร่วมงานนวราตรี และงานแห่วันวิชัยทัสมิ ให้แต่งกายด้วยชุดที่สุภาพ สีสันสดใส หลีกเลี่ยงสีโทนดำ ม่วง หรือน้ำเงินเข้ม เนื่องจากเป็นงานมงคล และโปรดระวังโจรล้วงกระเป๋าหรือกรีดกระเป๋า ส่วนการเดินทางมาเข้าร่วมงาน แนะนำให้เดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ เนื่องจากห้ามจอดรถริมฟุตบาทตลอดเส้นทางที่ขบวนแห่ผ่าน งานนวราตรี เป็นอีกหนึ่งงานสำคัญทางศาสนาฮินดู ศาสนิกชนสามารถเดินทางเข้ามาร่วมพิธีได้โดยไม่มีการจำกัดเชื้อชาติหรือศาสนา โดยเชื่อว่าจะช่วยเสริมสิริมงคลให้กับชีวิตของตนเองและครอบครัวด้วย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว. วธ.) กล่าวทิ้งท้ายว่า โครงการเทศกาลประเพณีทางศาสนา 5 ศาสนา ภายใต้การจัดกิจกรรมเทศกาลของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู เป็นการส่งเสริมให้ศาสนิกชนได้ปฏิบัติศาสนกิจตามศาสนา อันเป็นการสร้างความเข้มแข็งของสถาบันศาสนาให้เป็นเสาหลักที่จะสร้างสรรค์สังคมที่มีคุณธรรม ศาสนิกชนทุกศาสนาอยู่ร่วมกันด้วยความรักสามัคคีสืบต่อไป ทั้งยังเป็นการขับเคลื่อน Soft Power ในมิติทางศาสนาด้านการท่องเที่ยวและเทศกาล ยกระดับเทศกาลประเพณีให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และก่อให้เกิดความศรัทธาและความเชื่อ โดยการบูชาสิ่งที่เป็นวัตถุมงคล และของที่ระลึก ตลอดจนรถโดยสารสาธารณะ ที่จะช่วยส่งเสริมรายได้ให้กับผู้ประกอบการในการขายสินค้า และบริการต่าง ๆ สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวในมิติศาสนา ส่งผลให้ประเทศไทยมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน