กอนช. เตรียมปรับแผนจัดสรรน้ำหลังมีการเพาะปลูกเกินแผน เร่งแก้ปัญหาน้ำเค็มในแม่น้ำสายหลัก วางแผนถอดบทเรียนแก้ท่วมใต้เพื่อรับมือฤดูฝนหน้า

กอนช. ชี้มีการเพาะปลูกเกินแผนในหลายพื้นที่ เตรียมระดมความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนจัดสรรน้ำเพื่อให้มีน้ำต้นทุนในช่วงต้นฤดูแล้งหน้ามากที่สุด พร้อมเร่งแก้ปัญหาลิ่มความเค็มรุกล้ำในแม่น้ำสายหลัก ลดผลกระทบประชาชน และมีแผนลงพื้นที่ถอดบทเรียนแก้น้ำท่วมภาคใต้เพื่อปรับปรุงการบริหารจัดการน้ำในฤดูฝนหน้าให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

วันที่ 24 มกราคม 2567 ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมติดตามและประเมินสถานการณ์น้ำประจำสัปดาห์ ณ อาคารจุฑามาศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรธรณี กรมชลประทาน เป็นต้น เข้าร่วมการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เปิดเผยผลการประชุมว่า ปัจจุบันอยู่ในช่วงฤดูแล้ง ปริมาณฝนยังไม่มากนัก คาดการณ์ว่า ในช่วงสัปดาห์นี้มีแนวโน้มที่จะมีฝนตกเพิ่มมากขึ้นในพื้นที่บางส่วนของภาคเหนือและบริเวณภาคใต้ แต่จะไม่ใช่ปริมาณฝนที่มากนัก ซึ่งจะส่งผลดีในการช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นในพื้นที่และเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนในแหล่งน้ำที่มีน้ำน้อยได้ในระดับหนึ่ง รวมทั้งสามารถช่วยลดปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือได้

ทั้งนี้ สทนช. ได้ประเมินพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค นอกเขตการประปาส่วนภูมิภาค ช่วงฤดูแล้งปี 2566/67 พบว่า มีพื้นที่เสี่ยง 33 จังหวัด 167 อำเภอ 415 ตำบล ซึ่ง สทนช. ได้บูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนในการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องเพื่อเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์และแก้ไขปัญหาในเชิงป้องกัน โดยที่ผ่านมาได้ลงพื้นที่ในหลายจังหวัดและติดตามผลอย่างต่อเนื่อง อาทิ อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยในปัญหาขาดแคลนน้ำดิบเพื่อการอุปโภคบริโภค

โดยขณะนี้กรมทรัพยากรน้ำอยู่ในระหว่างเร่งดำเนินการเพิ่มปริมาณน้ำดิบในแหล่งน้ำในพื้นที่ นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 67 ที่ผ่านมา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่ชุมชนโต๊ะบาหลิว อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ เพื่อรับฟังปัญหาในชุมชน และประชาชนได้แจ้งปัญหาการขาดแคลนน้ำประปา ซึ่ง สทนช. ได้เสนอแผนแก้ไขปัญหาและจะเร่งดำเนินการต่อไป พร้อมกันนี้ ได้มีการติดตามสถานการณ์พื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรนอกเขตชลประทานอย่างใกล้ชิดและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัจจุบันมีการเพาะปลูกเกินกว่าแผนที่กำหนดในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งกระทบต่อการจัดสรรน้ำ จึงจะมีการหารือร่วมกันระหว่าง สทนช. กรมอุตุนิยมวิทยา สสน. กรมทรัพยากรน้ำ กรมชลประทาน และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เพื่อปรับแผนการจัดสรรน้ำ โดยคำนึงถึงการรักษาปริมาณน้ำให้ถึงเดือน พ.ย. 67 หรือต้นฤดูแล้งหน้าให้ได้มากที่สุด ควบคู่ไปกับการดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ด้วย

ดร.สุรสีห์ กล่าวต่อว่า จากการติดตามสถานการณ์น้ำเค็มในแม่น้ำหลัก 4 สาย ได้แก่ แม่น้ำบางปะกง แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง ปัจจุบันประสบปัญหาลิ่มความเค็มรุกล้ำเข้ามาในลำน้ำเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ระดับความเค็มในหลายจุดเพิ่มสูงขึ้น สำหรับสถานีสูบน้ำสำแล ระดับความเค็มยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานสำหรับการผลิตน้ำประปา แต่จะมีการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำอย่างใกล้ชิด และหากมีระดับความเค็มสูงขึ้น สทนช. จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการระบายน้ำเพิ่มเติมเพื่อผลักดันน้ำเค็ม ลดผลกระทบต่อประชาชนโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม และในส่วนของสถานการณ์น้ำในแม่น้ำโขงซึ่งที่ผ่านมามีระดับน้ำลดลง สทนช.

ในฐานะสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ได้ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งประสานไปยังสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง เพื่อประสานความร่วมมือกับประเทศที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการน้ำในแม่น้ำโขง เพื่อร่วมกันรักษาปริมาณน้ำไม่ให้น้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนด แต่ปัจจุบันระดับน้ำยังไม่อยู่ในเกณฑ์ที่ส่งผลกระทบ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

“สำหรับสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ขณะนี้คลี่คลายกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว แม้คาดว่าจะมีฝนตกเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ แต่จะไม่ส่งผลกระทบเนื่องจากมีปริมาณไม่มาก ซึ่งในช่วงสัปดาห์หน้า สทนช. จะลงพื้นที่ภาคใต้ ณ ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคใต้ จ.ยะลา เพื่อถอดบทเรียนการดำเนินการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่ม เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขให้การเตรียมรับมือสถานการณ์ในช่วงฤดูฝนถัดไปให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น” เลขาธิการ สทนช. กล่าว