วันที่ 6 กันยายน 2566 เวลา 15.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้แก่ ศาลพระภูมิ ศาลกรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร องค์พระประชาบดี เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยมีนายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คณะผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ จากนั้น เดินทางเข้าห้องทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ชั้น 9 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ
นายวราวุธ กล่าวว่า ขอบคุณท่านปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่ได้ให้การต้อนรับ และรู้สึกดีใจที่วันนี้ ตนจะได้มาสานต่องาน ซึ่งบิดาหรือนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี เคยทำไว้ ตนจะได้มาดูแลประชาชนคนไทยทั้ง 66 ล้านคน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ สตรี ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และกลุ่มความหลากหลายทางเพศ เราจะได้มีโอกาสทำงาน ดึงความร่วมมือ ศักยภาพของทุกคน เพื่อให้ทุกคนยืนอยู่ในสังคมอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีและเท่าเทียมกัน ทั้งนี้ ตนคิดว่าการทำงานในกระทรวง พม. นั้น คงจะไม่ได้มีเรื่องเดียวหรือเรื่องด่วนเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพราะว่ามีหลายปัจจัยที่เราจะต้องมาช่วยดูแลภายในกระทรวงและปัจจัยภายนอกกระทรวง ที่เป็นปัญหาของพี่น้องประชาชน
นายวราวุธ กล่าวต่อไปว่า วันนี้ประเทศไทยของเราเข้าสู่สถานะการเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ เพราะว่ามีผู้สูงอายุกว่าร้อยละ 20 หรือแม้แต่ปัญหาอัตราการเกิดของเด็กที่ลดลง ซึ่งทำให้ในอนาคตประเทศไทยของเราจะขาดแรงงาน และกลุ่มคนที่อาจจะเป็นมันสมองของชาติขึ้นมาพัฒนาประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่เราจะต้องเร่งแก้ปัญหาหรือแม้แต่กลุ่มของคนพิการ ที่จะต้องมีการดึงและพัฒนาศักยภาพ ให้มาเป็นกำลังสำคัญของสังคมไทย นับเป็นประเด็นภายนอกของกระทรวง พม.
นายวราวุธ กล่าวต่อไปอีกว่า สำหรับปัจจัยภายในกระทรวง พม. นั้น ตนเคยพูดแล้วว่า เป็นกระทรวงที่มีบทบาทมากในการพัฒนาสังคมไทย โครงสร้างหลักของสังคมไทยไม่ว่าจะเป็นสถาบันครอบครัว และคนทุกกลุ่ม ทำให้มีภารกิจมากมายเหลือเกิน มีพี่น้องเพื่อนๆ ข้าราชการอยู่ทั่วประเทศ แต่ปัญหาคือว่าจำนวนงบประมาณที่กระทรวง พม. ได้รับนั้น สวนทางกับปริมาณภารกิจของกระทรวง พม. ที่จะต้องดูแลพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนกันยายน เราเพิ่งได้จัดตั้งรัฐบาล และหัวใจสำคัญของหน่วยงานราชการที่จะขับเคลื่อนได้นั้น คือเงินงบประมาณประจำปี ซึ่งเห็นอยู่แล้วว่าวันที่ 1 ตุลาคมนี้ คงจะไม่สามารถใช้งบประมาณปี 2567 ได้ นับเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ภายในกระทรวง. พม. จะต้องปรับ และเตรียมทำงบประมาณปี 2567 เพื่อที่จะเข้าสภาในวาระต่อไปโดยเร็วที่สุด
นายวราวุธ กล่าวต่อไปอีกว่า สำหรับปัญหาเรื่องเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ที่มีปัญหาต่อเนื่องมาจากรัฐบาลชุดที่แล้ว ผู้สูงอายุทุกท่านไม่ต้องตระหนกตกใจ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ซึ่งสิ่งที่ได้นำมาพูดถึงนั้นเป็นมาตรการต่างๆ เรียกว่า เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน กระทรวง พม. เพียงกระทรวงเดียวจะไม่สามารถดำเนินการได้ เป็นเรื่องที่จะต้องปรึกษากับหน่วยงานต่างๆ ข้ามกระทรวง และต้องมีขั้นตอนพิจารณาต่างๆ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะต้องมีการเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน ฉะนั้น ต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าจะได้ความชัดเจน ถ้าหากว่ามีอะไรที่ทำให้พี่น้องประชาชนต้องเดือดร้อนนั้น ขอให้มั่นใจได้ว่ากระทรวง พม. เราจะไม่ทำให้พี่น้องประชาชนต้องเดือดร้อน ดังนั้น ขณะนี้สบายใจได้ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม
ตนคิดว่าหน่วยที่เล็กที่สุดของสังคมคือสถาบันครอบครัว เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งจะไม่พูดเจาะจงเป็นกรณีใดกรณีหนึ่ง แต่พูดถึงภาพรวมว่า การที่มีสภาพสังคมที่อบอุ่นกับการที่มีครอบครัวที่อบอุ่นนั้น จะเป็นการคืนแนวทางของพรรคชาติไทยพัฒนา ในการที่จะคืนลูกหลานให้กับครอบครัว คืนครอบครัวให้กับชุมชน และคืนชุมชนให้กับสังคมไทยของเรา ให้มีความอบอุ่น มีความใกล้ชิด มีความเข้าใจถึงกลไกของสังคมจริงๆ ถ้าสถาบันครอบครัวมีความอบอุ่นแล้ว ตนเชื่อว่าปัญหาในสังคมไทยต่างๆ จะลดน้อยถอยลงไปได้ในที่สุด
นายวราวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภารกิจของกระทรวง พม. ล้วนเป็นภารกิจเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของเด็ก ซึ่งเด็กมีอัตราการเกิดค่อนข้างต่ำ พอเติบโตขึ้นมาเราจะต้องดูแลในทุกช่วงวัย และปัญหาอีกส่วนหนึ่งคือปัญหาผู้สูงอายุ เราจะต้องดูแลผู้สูงอายุ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาศักยภาพให้ผู้สูงอายุที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ วิชาความรู้ และนำเอาความรู้เหล่านั้นมาเป็นกำลังสำคัญของสังคม เพราะปัญหาของผู้สูงอายุที่เกิดขึ้นในวันนี้ เราจะมีศูนย์บริการผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นแนวทางที่คิดไว้ เพราะปัจจุบัน ภาคเอกชนและทุกภาคส่วนให้ความสำคัญศูนย์บริการผู้สูงอายุ ซึ่งเราต้องทำให้เกิดขึ้นโดยเร็ว ต้องเรียนว่าปัญหาของกระทรวง พม. ไม่สามารถแก้ไขได้ภายในระยะเวลา 3 เดือน หรือ 6 เดือน แต่เป็นการแก้ไขปัญหาในเชิงโครงสร้าง การปรับเปลี่ยนกระบวนความคิด กระบวนทำงาน ซึ่งคิดว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลง พัฒนาการภายใน 3 เดือน 6 เดือนแน่นอน นอกจากนี้ สำหรับการดูแลอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ซึ่งเป็นหน่วยหน้าของการทำงานของกระทรวง พม. จะต้องได้รับการดูแล ซึ่งหากตนสามารถทำได้จะพยายามผลักดันให้มีงบประมาณหรือค่าตอบแทนให้โดยเร็วที่สุด
#ช่วย24ชั่วโมง #พม24ชม #ข่าวพม #esshelpme