“อนุทิน” เผย ไทยรับการประเมินสมรรถนะตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ ครั้งที่ 2

“อนุทิน” เผย ไทยรับการประเมินสมรรถนะตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ ครั้งที่ 2 ใช้บทเรียนโควิด 19 ร่วมประเมิน

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย ประเทศไทย ให้ความร่วมมือกับ องค์การอนามัยโลก รับการประเมินสมรรถนะตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ IHR JEE ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 4 พฤศจิกายน 2565 ใช้เครื่องมือประเมินตัวใหม่พัฒนาจากบทเรียนโควิด 19 รวม 56 ตัวชี้วัด เป็นประเทศแรกของโลก

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 ที่ โรงแรม รอยัล ออร์คิด เชอราตัน กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค ดร.ซามีรา อาสมา ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ องค์การอนามัยโลก ประจำสำนักงานใหญ่ นครเจนีวา และผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย เปิดการจัดประเมินการปฏิบัติตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ โดยผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลก International Health Regulations Joint External Evaluation (IHR-JEE)

นายอนุทิน กล่าวว่า การระบาดของโรคโควิด 19 ช่วงที่ผ่านมา เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศที่ใหญ่ที่สุด แต่ประเทศไทยสามารถควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากมีศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้รับการประเมินโดยใช้เครื่องมือระดับสากล ที่หลากหลาย เป็นประเทศแรกของโลกที่มีการดำเนินการ Intra Action Review (IAR) และเป็นประเทศที่ 3 ของโลก ที่ประสบผลสำเร็จในการทบทวนการเตรียมพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า (UHPR) โดยองค์การอนามัยโลก เพื่อนำข้อเสนอแนะมาปรับใช้ในการปฏิบัติงานและเพิ่มขีดความสามารถ รวมถึงเตรียมความพร้อมและรับมือกับโรคระบาดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้

ขณะนี้พ้นการระบาดใหญ่แล้ว จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมในการประเมินระบบสาธารณสุขของไทย ภายใต้การปฏิบัติตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ (IHR) โดยในครั้งนี้ได้นำประสบการณ์ในการรับมือโรคโควิด 19 มาใช้ในการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลกด้วย สำหรับการประเมิน IHR จะเกี่ยวข้องกับ 18 กระทรวง จากทั้งหมด 20 กระทรวง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้รับทราบถึงความสำคัญของการประเมินแล้ว และผลลัพธ์ที่ได้จากการประเมินครั้งนี้จะเป็นข้อมูลสำคัญในการพัฒนางานสาธารณสุขของไทยตามกฎอนามัยระหว่างประเทศต่อไป

ด้าน นายแพทย์ธเรศ กล่าวว่า ประเทศไทยได้ปฏิบัติตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ. 2548 (International Health Regulations: IHR 2005) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2550 โดยคณะรัฐมนตรีกำหนดให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ต้องมีการดำเนินการที่มีศักยภาพ ตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ และการเตรียมความพร้อมสำหรับภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข โดยประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างดีในการรับการประเมินสมรรนะ IHR JEE รอบแรก เมื่อวันที่ 26-30 มิถุนายน พ.ศ. 2560 ส่วนการประเมินครั้งที่ 2 นี้

จัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 4 พฤศจิกายน 2565 จะใช้เครื่องมือประเมินสมรรถนะ IHR-JEE ฉบับที่ 3 ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้นำบทเรียนในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 มาปรับปรุง เพื่อช่วยเพิ่มคุณภาพในการประเมินสมรรถนะการเตรียมความพร้อมของประเทศต่างๆ โดยมีประเด็นทางเทคนิคที่จะต้องประเมิน 19 ด้านเท่าเดิม แต่มีการแยก ยุบรวม หรือปรับแก้คุณลักษณะบางประการให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เช่น แยกประเด็นทางเทคนิคด้านเครื่องมือทางกฎหมาย และประเด็นทางเทคนิคการเงินออกจากกัน ยุบประเด็น ทางเทคนิคด้านการรายงานไปไว้กับประเด็นทางเทคนิคด้านการประสานงานกฎอนามัยระหว่างประเทศ รวมประเด็นทางเทคนิคด้านการเตรียมพร้อมในกรณีฉุกเฉินและประเด็นทางเทคนิคด้านศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน เป็นประเด็นเทคนิคด้านการจัดการเหตุฉุกเฉินด้านสุขภาพ เป็นต้น โดยกำหนดตัวชี้วัดเพิ่มขึ้นจาก 49 เป็น 56 ตัวชี้วัด และทดลองใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเข้าช่วยประเมินในครั้งนี้เป็นครั้งแรกของโลกด้วย

“ปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับโควิด 19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือการทำงานร่วมกับองค์การอนามัยโลกและประเทศสมาชิก ตามข้อกำหนด IHR อย่างเข้มแข็งมาต่อเนื่อง ซึ่งการรับการประเมินครั้งนี้ มีผู้แทนกระทรวงต่างๆ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย องค์กรพัฒนาเอกชน และเครือข่ายเข้าร่วมให้ข้อมูลกับ ทีมผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลก” นายแพทย์ธเรศกล่าว