บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อยประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/2562 คิดเป็นกำไรสุทธิประมาณ 492 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 110 ล้านบาท หรือร้อยละ 29 และเพิ่มขึ้น 182 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 59 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4/2561
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าในไตรมาสที่ 1/2562 บริษัทฯ ยังคงเติบโตต่อเนื่องจากผลการดำเนินงานที่ดีทั้งในประเทศไทย ญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์ เป็นผลจากสภาพอากาศที่ดี ความเข้มแสงและความเร็วลมเฉลี่ยอยู่ในระดับที่สามารถผลิตไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ แม้จำนวนเมกะวัตต์ได้ลดลงจากการจำหน่ายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) ที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้วก็ตาม คิดเป็นรายได้จากการขายไฟฟ้าที่ 808 ล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2561 และไตรมาสที่ 4/2561 แต่หากคิดเป็นผลกำไรแล้ว บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 492 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 110 ล้านบาท หรือสูงถึงร้อยละ 29 อีกทั้งยังรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 38 ล้านบาท เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินเยน ส่งผลให้ผลประกอบการในไตรมาสที่ 1/2562 คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 61 และกำไรต่อหุ้นที่ 0.25 บาท
สำหรับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมจากการดำเนินงานปกติ (ก่อนหักค่าตัดจำหน่าย) อยู่ที่ 225 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 203 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1/2561 (หลังการปรับปรุงงบการเงิน) มีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมที่ประเทศฟิลิปปินส์ที่ทำจุดสูงสุดใหม่ เป็นผลจากความเร็วลมเฉลี่ยที่ดีต่อเนื่องในบริเวณที่ตั้งโครงการ เนื่องจากการพัดผ่านของพายุมรสุม และพายุดีเปรสชั่นเขตร้อนซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยฤดูกาล ในขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพที่ประเทศอินโดนีเซีย ยังดำเนินงานอย่างมีเสถียรภาพต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าความร้อนใต้พิภพเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าจาก 181 ล้านบาท เป็น 188 ล้านบาท
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562 สินทรัพย์รวมอยู่ที่ 31,669 ล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2561 ส่วนหนี้สินรวมอยู่ที่ 16,125 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยร้อยละ 1.8 สาเหตุหลักมาจากการลดลงของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย โดย ณ สิ้นงวด อยู่ที่ 15,325 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.6 จากสิ้นปีก่อนหน้า
“ผลงานไตรมาสแรกถือเป็นการเริ่มต้นปีที่ดีสำหรับบีซีพีจี สำหรับในไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ จะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการที่ลมลิกอร์ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชที่ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว และเรายังวางแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรหลากหลายหน่วยงาน โดยเน้นความสำคัญของการนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน ทั้งในรูปแบบ wholesale และ retail
ล่าสุดโครงการนำร่องซื้อขายไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ T77 ได้รับคัดเลือกจากสื่อระดับโลกคือ The Business Debate และ Reuters ให้เป็นหนึ่งในโครงการที่สนับสนุนเป้าหมายด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน 17 ข้อของสหประชาชาติ โดยจัดทำวีดิโอเกี่ยวกับโครงการและสัมภาษณ์ผู้บริหาร 3 หน่วยงานพันธมิตรคือบีซีพีจี แสนสิริ และพาวเวอร์ เลดเจอร์ไว้ในเว็บไซต์ของ Reuters ที่ https://www.reuters.com/17-goals” นายบัณฑิตกล่าวทิ้งท้าย