กรมควบคุมโรค ร่วมเครือข่ายถอดบทเรียนการป้องกันควบคุมโรคตามแนวชายแดน และเตรียมรับการเดินทางที่กำลังเพิ่มขึ้น

กรมควบคุมโรค ร่วมถอดบทเรียนการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคบริเวณช่องทางเข้าออกประเทศ เพื่อรับมือกับความท้าทายในการข้ามพรมแดนในระยะที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง เสนอ 3 มาตรการรับมือสถานการณ์อนาคตหลังการระบาดโควิด

เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2565 นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เป็นประธานเปิด การประชุมถอดบทเรียนการดำเนินโครงการสนับสนุนด่านตรวจคนเข้าเมืองเพื่อรับมือกับความท้าทายในการข้ามพรมแดนในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ณ โรงแรมแลนด์มาร์ค กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา พร้อมด้วย Ms.Geraldine Ansart หัวหน้าสำนักงานองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) ประเทศไทย Mr.Damien Kilner ผู้อำนวยการส่วนอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง สถานทูตออสเตรเลีย Dr. Barbara Knust ศูนย์ความร่วมมือ ไทย-สหรัฐ ด้านสาธารณสุข สัตวเเพทย์หญิงเสาวพักตร์ ฮิ้นจ้อย ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศ กรมควบคุมโรค และผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชนเเละ NGOs เข้าร่วม

นายแพทย์โสภณ กล่าวว่า การเฝ้าระวังเเละคัดกรองกลุ่มผู้เดินทางระหว่างประเทศเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญที่กระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะด่านควบคุมโรคช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศ ทั้งด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศที่สนามบิน ท่าเรือ และพรมแดนตามแนวชายแดน อันเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ส่งผลให้สามารถตรวจจับเเละควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะที่ผ่านมา ในปัจจุบันด่านพรมแดนมีการพัฒนาให้สามารถคัดกรองดูเเลผู้ติดเชื้อเเละให้บริการวัคซีนเพื่อเพิ่มความครอบคลุมให้ได้มากที่สุด

ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนมาตรการรับมือโควิด 19 แบบรอบด้าน ได้แก่

1) ด้านโครงสร้างพื้นฐานด่านพรมแดน โดยการสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ การพัฒนาศักยภาพบุคลากร

2) ด้านการป้องกัน ควบคุมโรค โดยการประเมินความเสี่ยงของสถานการณ์ การสื่อสารความเสี่ยง การเพิ่มความครอบคลุมของวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 เเละการติดต่อประสานงาน

3) การถอดบทเรียน บูรณาการฐานข้อมูลร่วมกัน การซ้อมแผน สัมพันธภาพความร่วมมืออันดีของเจ้าหน้าที่ระหว่างหน่วยงาน และประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรับมือกับโควิด19

นายแพทย์โสภณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยเริ่มผ่อนคลายมาตรการเข้าประเทศ เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศรอบๆ ที่มีการเปิดประเทศให้เดินทางท่องเที่ยวได้สะดวกขึ้น กระทรวงสาธารณสุขจะยังคงเฝ้าระวังสถานการณ์เเละความเสี่ยงของในและต่างประเทศ พร้อมทั้งประเมินความพร้อมเเละพัฒนาศักยภาพของการป้องกันควบคุมโรคของประเทศให้ดียิ่งขึ้น เพื่อเตรียมรับมือสถานการณ์ในอนาคตที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู้โรคประจำถิ่นเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจเเละสังคมของประเทศ

************************************
ข้อมูลจาก : สำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศ กรมควบคุมโรค
วันที่ 6 พฤษภาคม 2565