กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ยกระดับยุว อสม. 1,500 คน ให้เป็นนักสื่อสารสุขภาพ เฝ้าระวังข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพที่ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง และสื่อสารข้อมูลความรู้ด้านสุขภาพสถานการณ์โรคโควิด 19 ที่ถูกต้อง ไปยังเพื่อนๆ ครอบครัว และชุมชน ผ่านสื่อประเภทต่างๆ
นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า กรมสนับสนุนบริการสุขภาพให้ความสำคัญในการสร้างแกนนำด้านสุขภาพทุกกลุ่มวัย โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นกำลังสำคัญโดยการพัฒนาให้เป็นยุว อสม. แกนนำด้านสุขภาพเพื่อสื่อสารความรู้ด้านสุขภาพ และดูแลสุขภาพของเพื่อน ครอบครัว และคนในชุมชนให้มีสุขภาพดี โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด 19 มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพผ่านสื่อหลากหลายช่องทาง และมีการนำเสนอข้อมูลด้านสุขภาพที่บิดเบือนความจริง ข่าวปลอมเป็นจำนวนมากทำให้ประชาชนหลงเชื่อและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ใช้ข้อมูล กรมสนับสนุนบริการสุขภาพจึงมีแนวคิดที่จะเสริมสมรรถนะ ยุว อสม. ให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้นเป็นนักสื่อสารสุขภาพ สื่อสารข้อมูลด้านสุขภาพที่ถูกต้องไปยังเพื่อนๆ ผ่านสื่อประเภทต่างๆ ทั้งในระดับพื้นที่และระดับสังคมต่อไป
ด้านทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ โดยกองสุขศึกษาจึงได้จัดประชุมปฏิบัติการพัฒนานักสื่อสารสุขภาพในสถานการณ์โควิด 19 ระหว่างวันที่ 30-31 มีนาคม และวันที่ 2 เมษายน 2565 ให้กับ ยุว อสม.ทั่วประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพ ยุว อสม. ให้มีทักษะในการเป็นนักสื่อสารสุขภาพสร้างข้อมูลความรู้ด้านสุขภาพที่ถูกต้องผ่านช่องทางการสื่อสารที่เข้าถึงเด็กและเยาวชน รวมถึงประชาชนทั่วไปที่เหมาะสม โดยได้รับความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญและเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในการร่วมจัดอบรมหลักสูตรนักสื่อสารสุขภาพ ในสถานการณ์โควิด 19 ให้กับ ยุว อสม. จำนวน 3 รุ่น รวมทั้งสิ้น 1,500 คน ซึ่งผู้เข้ารับการอบรมทั้ง 3 รุ่น จะได้รับวุฒิบัตรผ่านการอบรมหลักสูตรนักสื่อสารสุขภาพในสถานการณ์โควิด 19 จากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และองค์การยูนิเซฟประเทศไทย ในการเป็นผู้นำเยาวชนต้นแบบที่มีความรู้ความสามารถนำไปบอกต่อเพื่อนเยาวชน ครอบครัวและสังคม โดยในอนาคตคาดว่าการสร้างยุว อสม. จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและติดอาวุธทางปัญญาให้กับ ยุว อสม. ในการเป็นนักสื่อสารสุขภาพทำหน้าที่สื่อสารความรู้ที่ถูกต้องและเป็นนักขับเคลื่อนประเด็นสุขภาพเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่น ได้อย่างเป็นรูปธรรม จะทำให้ประเทศก้าวสู่ความเจริญที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไป
1 เมษายน 2565