เดินหน้าป้องกันเด็กหลุดออกนอกระบบ ศธ.สช.ผนึก กสศ. นำนวัตกรรมคัดกรองเด็กยากจนและด้อยโอกาส ขยายการช่วยเหลือนักเรียนยากจน-พิการ-ด้อยโอกาสสังกัดเอกชนโรงเรียนประเภทสายสามัญ ทั่วประเทศ 3,900 แห่ง

เดินหน้าป้องกันเด็กหลุดออกนอกระบบ ศธ.สช.ผนึก กสศ. นำนวัตกรรมคัดกรองเด็กยากจนและด้อยโอกาส ขยายการช่วยเหลือนักเรียนยากจน-พิการ-ด้อยโอกาสสังกัดเอกชนโรงเรียนประเภทสายสามัญ ทั่วประเทศ 3,900 แห่ง หวังเป็นฐานข้อมูลช่วยเหลือติดตามนักเรียนอย่างทันท่วงที รวมถึงพัฒนาครู และสถานศึกษา เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอนเพิ่มสมรรถนะในศตวรรษที่ 21

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2564 ที่กระทรวงศึกษาธิการ ดร.กนกวรรณ  วิลาวัลย์  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อสนับสนุนนวัตกรรมการคัดกรองความยากจน การวิจัยพัฒนาคุณภาพครู และสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) โดยความร่วมมือระหว่าง กระทรวงศึกษาธิการ และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(กสศ.)

ดร.กนกวรรณ  วิลาวัลย์  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  กล่าวว่า  วันนี้ถือว่าเป็นนิมิตรหมายดี ที่ทำความร่วมมือกันระหว่าง ศธ.และกสศ.ขับเคลื่อนระบบการศึกษาโดย

1.สนับสนุนนวัตกรรมการคัดกรองความยากจน การจัดสรรงบประมาณแบบมีเงื่อนไข เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และให้การช่วยเหลือนักเรียนยากจน

2.ส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาสำหรับนักเรียนยากจน นักเรียนพิการ และด้อยโอกาสให้ได้ศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นตามศักยภาพ

3.สนับสนุนให้เกิดความร่วมมืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความช่วยเหลือ ส่งเสริมนักเรียนยากจน นักเรียนพิการและด้อยโอกาส เพื่อลดความเลื่อมล้ำ ในการศึกษาจนสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานและพัฒนาคุณภาพของโรงเรียน และประสิทธิภาพครูของโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ

“โรงเรียนเอกชนมักจะถูกมองว่าเด็กมักจะมีฐานะดีแต่ในข้อเท็จจริงโรงเรียนเอกชนยังมีเด็กที่ด้อยโอกาสและผู้พิการ และครั้งนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ได้ใช้แอปพลิเคชั่นของกสศ. ที่มีมาตรฐานและได้ใช้มาในทุกระบบของการศึกษา ครั้งนี้จำนวนอาจจะยังไม่ได้เข้าเป้ามากเนื่องจากสถานการณ์โควิด -19 แต่กระทรวงศึกษาธิการจะรับไปปรับปรุงเพื่อให้เข้าถึงสถานศึกษาจำนวนมากขึ้น โอกาสต่อไปก็คือ นักเรียน ครู และสถานการศึกษา จะได้รับความร่วมมือจาก กสศ.เพื่อพัฒนาระบบการศึกษา และลดความเหลื่อมล้ำตามนโยบายของรัฐบาล และกระทรวงศึกษาคือ พัฒนาระบบการศึกษาให้ครอบคลุมทุกด้าน โดยเฉพาะพื้นที่ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ และผู้ยากไร้” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  กล่าว

ดร.กนกวรรณ  กล่าวด้วยว่า ด้วยข้อจำกัดของสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ครูและนักเรียนในโรงเรียนเอกชน ต้องเรียนอย่างยากลำบาก ครูจึงต้องหาวิธีการให้นักเรียนได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ ในส่วนของการเรียนแบบ On-Siteและ On-Hand ต้องทำด้วยความยากลำบาก เพราะต้องทำควบคู่กับการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 นอกจากนี้ยังหาช่องทางให้เด็กที่ด้อยโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมด้วย ซึ่งนับเป็นความเสียสละและความท้าทายของผู้บริหารและครูของโรงเรียนเอกชน จึงอยากขอบคุณจากใจ สำหรับผู้ปกครองบางรายมีจำนวนมากที่เกิดภาระจากการว่างงาน เป็นข้อจำกัดของสภาพครอบครัวส่งผลไปยังบุตรและลูกหลานในปกครอง  วันนี้จึงเป็นวันสำคัญที่เราจะมาร่วมพัฒนาอนาคตที่สดใดของเด็กด้อยโอกาสให้มีความสุขมากขึ้น จึงอยากให้การทำข้อตกลงร่วมกันระหว่างศธ.และกสศ. บรรลุวัตถุประสงค์

นพ.สุภกร   บัวสาย  รักษาการผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา  กล่าวว่า เด็กยากจน จำนวนมาก มีชีวิตที่ยากลำบากจนทนไม่ไหว ต้องหลุดจากระบบการศึกษา  กสศ.ทำงานครอบคลุมทั่วประเทศ  และขยายสังกัดเพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ   ปีที่ผ่านมา สามารถช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้มากกว่า 1.2 ล้านคน  ซึ่งเป็นกลุ่มที่เรากังวล แม้ยังไม่หลุดจากระบบการศึกษา แต่ถ้ามาโรงเรียน ท้องยังหิว  เดินทางด้วยความยากลำบาก หรือได้รับการเรียนการสอนไม่ตรงกับการใช้ประโยชน์ในชีวิต  กสศ.จึงจัดงบประมาณลักษณะ เงินอุดหนุนเพื่อช่วยเหลือด้านอาหารเช้า การเดินทาง การจัดการเรียนการสอนเพิ่มเติม ให้ตรงกับประโยชน์ที่นักเรียนจะใช้ได้จริง

นพ.สุภกร กล่าวว่า การช่วยเหลือนักเรียนยากจนกลุ่มนี้ กสศ.เริ่มจากเด็กๆในสังกัด สพฐ. ซึ่งมีนักเรียนยากจนมากที่สุด และมีความพร้อมของข้อมูล  และได้ขยายไปสู่สังกัด อปท. ตชด ยังเหลือสังกัดที่ยังไม่ครอบคลุมอีก หนึ่งในนั้นคือ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน หรือ สช.   กสศ.จึงพยายามต่อสู้เรื่องงบประมาณมาอย่างน้อย 3 ปี  ในปีนี้มีโอกาสเริ่มต้นดำเนินการร่วมกับ สช. เป็นปีแรกการดำเนินงานจะมีเงื่อนไข คือ การใช้เครื่องมือการคัดกรองความยากจนด้วยวิธีวัดรายได้ทางอ้อม (Proxy Means Test : PMT)   ของกสศ. เพื่อให้ รัฐบาล รัฐสภา สำนักงบประมาณ มั่นใจว่าสนับสนุนงบประมาณถูกคน ยากจนจริง  ทั้งนี้ความร่วมมือยังนำมาสู่การเชื่อมต่อระบบสารสนเทศและฐานข้อมูลรายบุคคลและรายสถานศึกษาระยะยาว ครอบคลุมเด็กเยาวชนที่มาจากครัวเรือนซึ่งมีรายได้น้อยที่สุดร้อยละ 20 ของประเทศ จำนวนมากกว่า 1 ล้านคน ในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้ครอบคลุมสถานศึกษาสังกัด สช.กว่า 3,902 แห่ง

นพ.สุภกร กล่าวว่า  ในปีแรก กสศ.จะเริ่มต้นทำงานกับโรงเรียนเอกชนประเภทการกุศล 566 แห่งจากการคัดกรอง สามารถช่วยเหลือนักเรียนทุนเสมอภาค สังกัด สช.ได้จำนวน 2,500 คน    ที่จะได้รับเงินอุดหนุนแบบมีเงื่อนไข คนละ 3,000 บาท/ปี เพื่อบรรเทาอุปสรรคการมาเรียน ค่าครองชีพ ค่าอาหารเช้า พร้อมทั้งมีระบบติดตามการมาเรียน ผลการเรียน และการเจริญเติบโตของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง    อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนอาจยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด เราเชื่อว่าอาจมีจำนวนนักเรียนที่ยากลำบากมากกว่านี้หลายเท่า   ซึ่งรัฐมนตรีได้ให้นโยบายว่าจะต้องมีการสำรวจ คัดกรองเร็วขึ้น เพื่อสามารถจัดทำงบประมาณ ช่วยเหลือนักเรียนกว้างขวางขึ้นในปีถัดไป  ความร่วมมือครั้งนี้ กสศ.ยังสนับสนุน โรงเรียนสังกัด สช. เข้าร่วมโครงการพัฒนาตนเองรุ่นที่ 2 ประมาณ 27 แห่ง  ครอบคลุมนักเรียนที่จะได้รับประโยชน์และยกระดับคุณภาพการศึกษา จำนวน 10,000 คน  ในการหาวิธีการจัดการเรียนการสอน  สอดคล้องกับความจำเป็นในชีวิตของเด็ก และสอดคล้องกับหลักสูตรใหม่ ของ กระทรวงศึกษาธิการ

“ข้อจำกัดของการช่วยเหลือเป็นรายคน  คือ ถ้างบประมาณหมด หรืองบประมาณน้อย จะเป็นปัญหา อุปสรรคมาก กสศ.จึงพยายามทำงานกับหน่วยงานเจ้าภาพหลัก  เน้นงานวิจัยพัฒนาระบบงานไปด้วย  เพื่อช่วยเหลือลดอุปสรรคเฉพาะหน้า และสนับสนุนงานวิชาการ เพื่อสนับสนุนการปฏิรูปการศึกษาในประเด็นที่รัฐบาลเห็นว่าต้องมีการแก้ไข   โดยเฉพาะการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนพื้นที่ห่างไกล ที่นักเรียนส่วนใหญ่ยากจน”  นพ. สุภกร  กล่าว

ดร.สุภัทร  จำปาทอง  ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ  กล่าวว่า ตลอดสามปี ที่กสศ.กำเนิดขึ้นมา เป็นการเติมเต็มช่องว่างในสังคมไทย  เปลี่ยนชีวิตเด็กให้เป็นบุคคลสำคัญ ขับเคลื่อนประเทศในอนาคต   อย่างไรก็ตามนักเรียนที่อยู่ในสถานศึกษามีความด้อยโอกาสที่แตกต่างกันส่วนหนึ่งจากสภาวะทางเศรษฐกิจ  โดยเฉพาะในวิกฤตโควิด-19  ทำให้มีการย้ายถิ่นฐาน  ผู้ปกครองว่างงาน  ส่งผลกระทบต่อการศึกษาของเด็กไทย   ทำให้มีเด็กจำนวนมากที่ยังไม่พบว่าศึกษาต่อในระบบ  เป็นเด็กต้องหล่น ประมาณ 43,000 คน    โดยขณะนี้เหลืออีกราว 20,000 กว่าคน ที่กระทรวงศึกษากำลังเร่งรัด ติดตาม ซึ่งเรามีชื่อเด็กทุกคน เพื่อให้เข้าสู่การศึกษาในระบบ หรือการศึกษานอกระบบ หรือเรียนอาชีวะ

ดร.พีรศักดิ์  รัตนะ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.)  กล่าวว่า การสนับสนุนนวัตกรรมดังกล่าว จะช่วยให้ สช.มีฐานข้อมูลความยากจนของนักเรียนที่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อให้ สช.นำข้อมูลไปใช้ ในการขอรับงบประมาณประจำปี สำหรับช่วยเหลือนักเรียนที่มีความเสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษา เนื่องจากปัญหาความยากจน ด้อยโอกาสได้ดีขึ้น นอกจากนี้ สช.และ กสศ.ยังมุ่งพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ ผ่านโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง หรือ Teacher and School Quality Program: TSQP ที่เน้นการพัฒนาคุณภาพของระบบบริหารจัดการโรงเรียน และการจัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพสูงในชั้นเรียนเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เกิดสมรรถนะในศตวรรษที่ 21

****************************************************