รมว.ศธ. เผยผลการเก็บข้อมูลจากการประเมินแบบเร่งด่วน (rapid appraisal) รอบที่ 1 จากกลุ่มอาสาสมัครครูนักประเมิน สะท้อนนโยบาย ศธ. ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 เพื่อปรับมาตรการให้ความช่วยเหลือนักเรียน ครู และผู้ปกครองให้เกิดความเหมาะสม
วันที่ 23 สิงหาคม 2564 นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้จัดทำโครงการที่เรียกว่ากระบวนการประเมินแบบเร่งด่วน (Rapid Appraisal) ซึ่งเป็นกลไกใหม่ที่สามารถทำให้รับรู้ข้อมูลในพื้นที่จากสภาพจริงและเชื่อถือได้ เพื่อทำให้ทราบถึงปัญหาอุปสรรคของการปฏิบัติจริงในพื้นที่ที่สะท้อนถึงนโยบายต่าง ๆ ของ ศธ. ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ว่าเกิดผลดีต่อผู้ปฏิบัติหรือจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนนโยบายอย่างไรให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานในพื้นที่นั้น ๆ โดยมีอาสาสมัครครูและนักประเมินมากกว่า 250 คน จากทุกภูมิภาคในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ ซึ่งได้มีการปฐมนิเทศ “อาสาสมัครครูนักประเมิน” (Rapid Appraisal Volunteer : RAV) เพื่อให้เข้าใจวัตถุประสงค์และวิธีการเก็บข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ นั้น
รมว.ศธ. กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้กลุ่มอาสาสมัครครูนักประเมินได้ดำเนินการจัดเก็บข้อมูลและรายงานผลการประเมินตามข้อมูล รอบที่ 1 มาถึงส่วนกลางเรียบร้อยแล้ว จากข้อมูลที่ได้จากนักเรียน ครู และผู้ปกครอง ที่ได้รับผลกระทบจากการจัดการเรียนสอนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อเปรียบเทียบกับการเรียนการสอนในช่วงปกติ พบว่า ผลกระทบของผู้เรียนสามารถเข้าถึงการจัดการเรียนการสอนได้ในระดับปานกลางถึงมาก แต่ประสิทธิภาพที่เกิดจากการเรียนการสอนในช่วงนี้มีค่าเฉลี่ยลดลงเป็นส่วนใหญ่ ทั้งในด้านความรู้และพฤติกรรมการเรียน ด้านสุขภาวะทางร่างกาย สุขภาวะทางจิตใจ และทักษะทางสังคม ถึงแม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะทำให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองมากขึ้น แต่ความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียน ความเอาใจใส่ ความรับผิดชอบต่อการเรียน รวมถึงความสุขในการเรียนและการทำงานร่วมกับผู้อื่นนั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด และส่งผลให้เกิดความเครียดตามมา โดยผู้เรียนได้สะท้อนความคิดเห็นและความต้องการว่าอยากจะกลับไปเรียนในห้องเรียนมากกว่าเรียนออนไลน์ และต้องการให้จัดการเรียนการสอนเฉพาะวิชาที่จำเป็น ลดการบ้าน ปรับเนื้อหาการเรียน เพิ่มสื่อการสอนให้ทันสมัย และอยากให้มีการสนับสนุนอุปกรณ์ในการเรียนออนไลน์เพิ่มขึ้นด้วย
สำหรับด้านผลกระทบของผู้ปกครอง สะท้อนว่า มีความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษาในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ในระดับปานกลาง โดยผลกระทบที่เกิดขึ้น ได้แก่ ผลกระทบในด้านค่าใช้จ่าย มีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากการเรียนออนไลน์ เช่น การซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ค่าสัญญาณอินเทอร์เน็ต ในขณะที่ผู้ปกครองมีรายได้เฉลี่ยลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงสถานการณ์ปกติ การดูแลบุตรหลานที่เข้าเรียนออนไลน์ก็ส่งผลต่อความสามารถในการประกอบอาชีพเช่นกัน รวมถึงผู้ปกครองบางส่วนมีความเครียดและความกังวลจากการถูกปรับลดชั่วโมงการทำงาน ให้หยุดงาน หรือเลิกจ้าง โดยผู้ปกครองไม่มีเวลาในการดูแลบุตรหลานขณะเรียนออนไลน์ได้ตลอดเวลา ถึงแม้บางท่านจัดสรรเวลาได้ แต่ก็ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือในด้านเนื้อหาการเรียนกับผู้เรียนได้เท่าครู นอกจากนี้ สถานที่เรียนออนไลน์ยังมีสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย มีปัญหาด้านสัญญาณอินเทอร์เน็ตเป็นข้อจำกัด และยังมีข้อกังวลว่าผู้เรียนจะไม่สามารถจัดสรรเวลาในการเรียนได้ เนื่องจากติดเครื่องมือการสื่อสารมากเกินไป ทำให้กระทบไปถึงการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระงานบ้าน ผู้ปกครองส่วนใหญ่จึงต้องการให้มีการเปิดการเรียนการสอนที่โรงเรียนตามปกติ โดยมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเคร่งครัด รวมถึงต้องการให้มีระบบหรือช่องทางการมีส่วนร่วมในการกำกับ ติดตาม ให้ความช่วยเหลือผู้เรียนและผู้ปกครองอย่างทั่วถึงด้วย
และในส่วนสุดท้ายคือการเก็บข้อมูลผลกระทบของครู โดยผลการวิเคราะห์ความสำเร็จในการจัดการเรียนการสอนนั้น พบว่า ครูสามารถจัดการเรียนการสอนได้ตามแผนการสอนที่กำหนดไว้ ประมาณ 60-70% ซึ่งรูปแบบการเรียนการสอนที่ครูเห็นว่าเหมาะสมกับสถานการณ์นี้ พบว่า การสอนแบบ On-Hand มีความเหมาะสมกับผู้เรียนระดับอนุบาลถึงระดับประถมศึกษา เนื่องจากผู้เรียนจะได้ทำกิจกรรมผ่านการลงมือปฏิบัติจริง และเหมาะสมกับช่วงวัย ในส่วนของการเรียนการสอนแบบ Online เหมาะสมกับผู้เรียนระดับมัธยมศึกษา เนื่องจากเข้าถึงผู้เรียนได้มาก รวดเร็ว และสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้เรียนได้ ส่วนการเรียนในระดับอาชีวศึกษานั้น การสอน On-Site และ Online สลับกัน มีความเหมาะสมที่สุด เนื่องจากต้องมีการฝึกปฏิบัติโดยใช้เครื่องมือเฉพาะทางด้วย นอกจากนี้ ครูยังเห็นว่าต้องมีการพัฒนาทักษะเพื่อให้สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในด้านทักษะดิจิทัล จิตวิทยาเด็ก การออกแบบการเรียนรู้ เทคนิคการสอนการจัดทำสื่อการสอนออนไลน์ รวมถึงทักษะด้านภาษาอังกฤษ ในท้ายที่สุด หากสถานการณ์การแพร่ระบาดลดลง ครูก็มีความคิดเห็นสอดคล้องกับผู้ปกครองว่า ต้องการให้มีการเปิดการเรียนการสอนแบบปกติให้เร็วที่สุด เพื่อให้สามารถจัดการสอนได้เต็มศักยภาพ ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ และมีความสุขกับการเรียนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การเปิดเรียนต้องดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดจนกว่าจะเข้าสู่สถานการณ์ปกติ
“ขณะนี้ดิฉันได้รับทราบข้อมูลตามโครงการการประเมินแบบเร่งด่วน (Rapid Appraisal) จากอาสาสมัครครูนักประเมิน (Rapid Appraisal Volunteer : RAV)” ที่ได้เก็บข้อมูลที่เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างรวดเร็วผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มาก สามารถสะท้อนให้เห็นถึงสภาพปัญหาและอุปสรรคของนักเรียน ครู และผู้ปกครอง ที่ได้รับผลกระทบจากการจัดการเรียนการสอนในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เมื่อเปรียบเทียบกับการเรียนการสอนในช่วงปกติได้อย่างชัดเจนและเชื่อถือได้ โดยหลังจากนี้ ศธ. จะนำข้อมูลดังกล่าวไปพิจารณาเพื่อปรับปรุงแก้ไขมาตรการการจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่ไม่ปกติเช่นนี้ เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นกับนักเรียน ครู และผู้ปกครอง ตลอดจนมีความเหมาะสมกับแต่ละบริบทของพื้นที่โดยเร่งด่วนต่อไป” นางสาวตรีนุช กล่าว