ปัญหาดวงตากับหน้าร้อน เป็นอะไรที่พบเจอได้บ่อยมาก ยิ่งแสงแดด ยูวี แสงไฟ รับมามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งกระทบการทำงานของดวงตา จอประสาทตามากเท่านั้น ดังนั้นเพื่อสุขภาพตาที่ดี ควรดูแลป้องกันแต่เนิ่นๆ หรือหาสมุนไพร – อาหาร ที่มีส่วนช่วยในการดูแลดวงตาของเรากันค่ะ
ดาวเรืองมีถิ่นกำเนิดอยู่ในอเมริกา ถูกนำเข้ามาเมืองไทยตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครทราบได้ แต่น่าจะนานมาแล้วเพราะสมัยยายก็มีอยู่แล้ว ตอนเด็กๆ จำได้ว่าในหมู่บ้านนิยมปลูกไว้หน้าบ้านคู่กับบานชื่นเอาไว้บูชาพระ แต่ก่อนดาวเรืองมีแต่ดอกเล็กๆ ไม่มีดอกใหญ่อย่างในปัจจุบัน ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นยาสมุนไพร แต่มีข้อมูลที่อ้างอิงมากจากตำรายาจีนว่า ดอกและราก มีรสขม เผ็ดเล็กน้อย ใช้ขับลม ดับพิษร้อนในตับ แก้วิงเวียนศีรษะ ตาบวม ตาเจ็บ ไอเรื้อรัง หลอดลมอักเสบ ขับเสมหะ แก้คอและปากอักเสบ แก้คางทูม
ครูหมอยาปราจีนบุรีและอีสานไม่มีการใช้ดาวเรืองทางยา แต่เมื่อมีโอกาสไปเก็บความรู้กับหมอยาไทใหญ่เมื่อสิบกว่าปีก่อน จึงได้รู้ว่าดาวเรืองใช้ต้มกินบำรุงตา การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ก็พบว่าดาวเรืองมีสารลูทีน(lutein) ที่ช่วยปกป้องสายตา ปัจจุบันในตลาดต่างประเทศมีสารสกัดจากดาวเรืองและชาดาวเรืองจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงสายตา ช่างน่าอัศจรรย์ใจที่ตรงกับการใช้ของพ่อหมอเหล่านั้น
ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่าสารลูทีน และซีแซนทีน(zeaxanthin) เป็นสารไอโซเมอร์กัน(มีสูตรโมเลกุลเหมือนกัน แต่สูตรโครงสร้างต่างกัน) เป็นสารสีเหลืองที่มีอยู่มากบริเวณจุดโฟกัสของจอประสาทตา เชื่อว่าสารทั้งสองช่วยดูดซับแสงสีฟ้าและแสงยูวีซึ่งมีพลังงานสูง และเป็นสารต้านออกซิเดชันช่วยป้องกันเซลล์รับแสงของตาไม่ให้ได้รับอันตรายจากอนุมูลอิสระ จากงานวิจัยพบว่า ผู้ที่มีสารลูทีนและซีแซนทีนสะสมอยู่ที่จอประสาทตามาก จะมีความเสี่ยงต่ำที่จะเกิดต้อกระจกและโรคจอประสาทตาเสื่อม(Age-related macular degeneration :AMD) อันมีสาเหตุมาจากอายุที่เพิ่มขึ้น
ในสภาวะโลกร้อนซึ่งทำให้คนเราได้รับรังสียูวีเพิ่มขึ้น ดาวเรืองจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการดูแลสุขภาพตา เพราะเป็นพืชดอกที่ปลูกง่ายในบ้านเรา ซึ่งก็คุ้นเคยกับการนำดาวเรืองมาบูชาพระหรือทำเป็นพวงมาลัยอยู่แล้ว แต่การกินเป็นอาหารหรือเป็นสมุนไพรยังมีน้อยยกเว้นในบางพื้นที่ เช่น แม่ๆ ชุมชนมุสลิมสามจังหวัดภาคใต้เล่าว่า สมัยก่อนชาวบ้านก็นำยอดอ่อน ใบอ่อน ดอกอ่อนที่ยังตูม(ไม่กินดอกแก่เพราะฉุน)มาจิ้มน้ำบูดูหรือน้ำพริกกินเป็นประจำเชื่อว่าเป็นยาบำรุงร่างกาย ทำให้เจริญอาหาร ทุกวันนี้ในลังกาวีก็ยังกินกันอยู่ แต่คนไทยกินกันน้อยลงอาจเป็นเพราะมีผักอื่นๆ มากมาย
อย่างไรก็ตาม การนำดาวเรืองไปปรุงให้สุกก่อนบริโภคจะช่วยเพิ่มการออกฤทธิ์ของลูทีน ดังที่พ่อหมอยาไทใหญ่แนะนำให้นำมาต้มกิน ชงกิน จึงเป็นวิธีที่ถูกต้องกว่า ในด้านความปลอดภัยก็ไม่น่ากังวล เนื่องจากมีการศึกษาพิษเฉียบพลันและพิษกึ่งเรื้อรังโดยให้หนูได้รับสารสกัดลูทีนจากดาวเรือง ผลปรากฏว่าไม่พบความผิดปกติใดๆ
ตำรับยา นำกลีบดอกดาวเรืองแห้ง 1 กำมือ กับดอกอัญชันประมาณ 10 ดอก ต้มกับน้ำ 1 ลิตร ต้มเดือด 15 นาที สามารถดื่มได้ครั้งละ 1 แก้วกาแฟ ก่อนอาหารเช้า หรือเย็น
ท่าoที่มีข้อสงสัยสุขภาพ สามารถปรึกษาหมอออนไลน์ได้ที่ [line] https://lin.ee/47PRVjiFz
ที่มา : บันทึกของแผ่นดิน 9 สมุนไพรในสภาวะโลกร้อน