วันที่ 24 กันยายน 2563 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ร่วมกับ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ภาคีเครือข่ายเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทย (Thailand Energy Storage Technology Alliance: TESTA) เพื่อสร้างเครือข่ายการดำเนินงานในการพัฒนาเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทยตลอดทั้งห่วงโซ่มูลค่า โดยมี นายกิตติกร โล่ห์สุนทร ประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร ให้เกียรติเป็นประธานและสักขีพยานในการลงนาม พร้อมด้วย ผู้บริหารจาก 5 หน่วยงานภาคี รวมถึงได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ เอ็ม สแตนลีย์ วิตติงแฮม ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีประจำปี พ.ศ. 2562 จากการคิดค้นวัสดุสำหรับแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน รวมถึงผู้ประกอบการด้านการผลิตแบตเตอรี่สมัยใหม่และยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมาร่วมพูดปาฐกถา
นายกิตติกร โล่ห์สุนทร ประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ภาคีเครือข่ายเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทย ระหว่าง 5 หน่วยงาน จะมีส่วนช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็ง และผลักดันให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานในประเทศ ทั้งในระดับงานวิจัยจนถึงอุตสาหกรรม เพื่อรองรับเทคโนโลยี ระบบกักเก็บพลังงานที่จะเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนประเทศสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและด้านอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ที่รัฐบาลต้องการผลักดัน โดยมีเป้าหมายในการเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคภายในปี 2568 และปริมาณผลิตยานยนต์ไฟฟ้า 750,000 คันภายในปี 2573 โดยกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงคมนาคม ได้ร่วมเป็นผู้นำในการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ร่วมกับผู้เกี่ยวข้องผ่านนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ผ่านแผนงานด้านการให้สิทธิพิเศษส่งเสริมการขาย และการผลิตให้กับบริษัทรถยนต์และชิ้นส่วนจากทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงมีแผนการส่งเสริมให้เกิดสถานีชาร์จอย่างกว้างขวาง โดยคาดหวังว่าการเกิดภาคีเครือข่ายระบบข่ายเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทยจะเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือและใกล้ชิดระหว่างภาคอุตสาหกรรมและหน่วยวิจัยทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด และยานยนต์ไฟฟ้าที่สมบูรณ์ ตอบสนองเป้าหมายของสังคมแห่งพลังงานสะอาดที่เข้าถึงได้
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. มีนโยบายและให้ความสำคัญในการดำเนินงานด้านพลังงานและสร้างความเป็นเลิศในการเป็นผู้นำด้าน เทคโนโลยีพลังงาน พร้อมทั้งเชื่อมโยงงานวิจัยและพัฒนากับกระทรวงพลังงานและภาคส่วนต่าง ๆ ในการขับเคลื่อนแผนพลังงานไปสู่การใช้งานจริง สำหรับการลงนามความร่วมมือครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (National Energy Technology Center: ENTEC) ที่เพิ่งได้รับการจัดตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 เพื่อเป็นศูนย์รวมในการบูรณาการความร่วมมือการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานของประเทศและนานาชาติ รวมทั้งเชื่อมโยงงานวิจัยและพัฒนาที่มุ่งเน้นการต่อยอดไปสู่การใช้งานจริง สามารถถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับภาคอุตสาหกรรมและขยายผลต่อยอดไปสู่การมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ โดยการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ศูนย์ฯ มุ่งเน้น โดยได้ดำเนินการการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ รวมถึงการให้คำปรึกษากับภาคเอกชน ไปสู่เป้าหมายลดการพึ่งพิงเทคโนโลยีจากต่างประเทศ แก้ปัญหาในอุตสาหกรรมพลังงานของประเทศ รวมถึงการยกระดับมาตรฐานทั้งด้านการทดสอบ การควบคุมคุณภาพให้เกิดขึ้นในประเทศอย่างเป็นระบบร่วมกัน เพื่อให้เกิดห่วงโซ่คุณค่าด้านระบบกักเก็บพลังงานที่สมบูรณ์ สามารถส่งเสริมคุณภาพชีวิต สร้างงาน สร้างรายได้สร้างความมั่นคงให้กับประเทศอย่างยั่งยืน
ศ.ดร.ธิดารัตน์ บุญมาศ รองอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเน้นพัฒนานวัตกรรมด้านวัสดุสำหรับแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน และมีโรงงานต้นแบบแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนแห่งแรกในประเทศไทย ที่เปิดให้นักวิจัยด้านวัสดุและผู้ผลิตแบตเตอรี่เซลล์สามารถเข้าร่วมพัฒนาสูตรผลิตและวัสดุใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลักดันงานวิจัยสู่การสร้างผลิตภัณฑ์ รวมถึงการผลิตบุคลากรเข้าสู่อุตสาหกรรม และการสร้างอุตสาหกรรมภายในประเทศด้วยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่นจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมขับเคลื่อน และส่งเสริมการดำเนินการต่าง ๆ ให้มุ่งสู่ความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน และยานยนต์ไฟฟ้าของไทย
รศ.ดร.สมนึก วิสุทธิแพทย์ รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนางานบริการวิชาการและอุตสาหกรรมสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กล่าวว่า มจพ. เล็งเห็นความสำคัญในอนาคตของเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน จึงได้มุ่งมั่นสนับสนุนการพัฒนาบัณฑิต บุคลากร และองค์ความรู้ในสาขาเทคโนโลยีแบตเตอรี่มาอย่างต่อเนื่อง และมีบัณฑิตวิทยาลัยฯ สิรินธร ไทย-เยอรมัน (TGGS) เป็นคณะทำงานหลักที่ทุ่มเทพัฒนางานวิจัยในเทคโนโลยีแบตเตอรี่มายาวนานและเป็นที่ประจักษ์ TGGS มีการพัฒนาศักยภาพผ่านความร่วมมือกับกลุ่มองค์กรพันธมิตรในประเทศและระดับสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เชี่ยวชาญระดับสากลจาก RWTH Aachen University การลงนามนี้ถือเป็นต่อยอดความร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรที่ได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ และจะเป็นประโยชน์อย่างสูงต่อการสร้างความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมระบบกักเก็บพลังงานในประเทศ
รศ.ดร.สุวิทย์ เตีย อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวว่า มหาวิทยาลัยส่งเสริมการวิจัยพัฒนาด้านพลังงานในหลายรูปแบบ อาทิ โครงการบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) ซึ่งเป็นหลักสูตรนานาชาติระดับปริญญาโทและเอก เพื่อพัฒนาบุคลากรเข้าสู่อุตสาหกรรม ศูนย์วิจัย Mobility & Vehicle Technology Research Center (MOVE) ที่มุ่งเน้นการทำงานร่วมกันแบบบูรณาการระหว่างอาจารย์ นักวิจัย และนักศึกษา จากหน่วยงานต่างๆ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานวิจัยด้านเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ที่สามารถต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้ นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังมีส่วนสำคัญในการร่วมก่อตั้งสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะนำไปสู่การพัฒนาและส่งเสริมการใช้งานระบบกักเก็บพลังงานอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
นายกฤษฎา อุตตโมทย์ นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) กล่าวว่า สมาคมฯ เห็นความสำคัญของระบบกักเก็บพลังงานว่าเป็นหัวใจสำคัญของยานยนต์ไฟฟ้า ที่ประเทศไทยจำเป็นต้องผลักดันให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต และพัฒนาระบบการจัดการแบตเตอรี่ที่สิ้นอายุการใช้งานที่เหมาะสม ทั้งนี้ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย เป็นการรวมกลุ่มของทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคเอกชน ที่เน้นส่งเสริมการผลิตและการขยายการใช้งานของยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดยเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีและยั่งยืน จากการดำเนินงานที่ผ่านมาของสมาคม จะเห็นได้ว่า ระบบกักเก็บพลังงานและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องต้องการความร่วมมือจากหลายภาคส่วน เพื่อให้เกิดการดำเนินการที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งหมดนี้ สวทช. และภาคีเครือข่าย TESTA พร้อมที่จะร่วมมือกัน เพื่อผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทย โดยใช้ศักยภาพของวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ขับเคลื่อนทุกภาคส่วนเพื่อสร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม และเพื่อให้ภาคพลังงานมีความพร้อมรับมือสู่ยุคเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตอบสนองความต้องการของสังคมอย่างยั่งยืน
…………………………………………………………..