นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2561 และส่งผลต่อเนื่องมายังประเทศต่างๆ รวมถึงไทย อย่างไรก็ดี จากข้อมูลการค้าที่ผ่านมา ชี้ว่าไทยสามารถปรับตัวรับมือกับสงครามการค้า และใช้โอกาสนี้ เป็นผู้ส่งออกสินค้าทดแทนให้ทั้งสหรัฐฯ และจีน ทำให้สินค้าไทยมีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นทั้งสองตลาด นอกจากนี้ นักลงทุนสหรัฐฯ และจีนยังสนใจมาลงทุนในไทยมากขึ้น
นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวว่าสงครามการค้าทำให้ความสัมพันธ์ทางการค้าเปลี่ยนไป การค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนลดลง การนำเข้าของสหรัฐฯ จากจีน มีสัดส่วนลดลงจากร้อยละ 21.84 ในปี 2560 (ก่อนเกิดสงครามการค้า) เป็นร้อยละ 18.39 ในปี 2562 และการนำเข้าของจีนจากสหรัฐฯ มีสัดส่วนลดลงจากร้อยละ 8.41 ในปี 2560 เป็นร้อยละ 5.95 ในปี 2562 และส่งผลต่อเนื่องมายังไทยและประเทศอื่นที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตจีน เห็นได้จากความต้องการสินค้าไทยของจีนและประเทศที่อยู่ในห่วงโซ่ของจีน เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน และเกาหลีใต้ หดตัวชัดเจนตั้งแต่ไตรมาสสี่ปี 2561 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มาตรการส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ และจีนมีผลบังคับใช้ อย่างไรก็ดี การส่งออกจากไทยไปสหรัฐฯ ขยายตัวต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มต้นสงครามการค้า เติบโตร้อยละ 5.5 11.8 และ 2.5 ในปี 2561 2562 และครึ่งแรกของปี 2563 ตามลำดับ นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 การส่งออกจากไทยไปจีนและประเทศในห่วงโซ่การผลิตจีน เช่น ฮ่องกง กลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 5.8 และ 1.4 ตามลำดับ สะท้อนว่าผลของสงครามการค้าเบาบางลง ผู้ประกอบการในห่วงโซ่เริ่มปรับตัวได้มากขึ้น
นางสาวพิมพ์ชนก ให้ข้อมูลว่า การที่สหรัฐฯ และจีนต่างต้องปรับโครงสร้างการค้า แสวงหาแหล่งนำเข้าใหม่ ส่งผลให้ไทยได้โอกาสจากการเบี่ยงเบนทางการค้า (Trade Diversion) ส่งออกสินค้าทดแทนได้มากขึ้น ทำให้ส่วนแบ่งของไทยในทั้งสองตลาดเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สินค้าไทยครองส่วนแบ่งตลาดสหรัฐฯ มากขึ้น จากร้อยละ 1.26 ในปี 2561 เป็นร้อยละ 1.34 ในปี 2562 และร้อยละ 1.63 ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 ขณะเดียวกัน ส่วนแบ่งในตลาดจีนก็เพิ่มขึ้น จากร้อยละ 2.13 ในปี 2561 เป็นร้อยละ 2.23 ในปี 2562 และร้อยละ 2.42 ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563
สินค้าไทยที่เติบโตดีในสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 นี้ (เรียงตามมูลค่าการส่งออก) อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (+29.4%) อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด (+300.1%) อาหารทะเลแช่แข็งและแปรรูป (+18.7%) ข้าว (+34.3%) หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ (+41.8%) เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน (+147.4%) อาหารสัตว์เลี้ยง (+36.3%) เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (+22.0%) ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น (+17.2%) สำหรับสินค้าไทยที่เติบโตดีในจีน อาทิ ผลิตภัณฑ์ยาง (+37.5%) ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง (+66.2%) เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (+25.3%) รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (+146.3%) ทองแดง (+93.9%) แผงสวิทซ์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า (+19.9%) ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง (+62.0%) รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ (+195.7%) เป็นต้น ทั้งนี้ นอกเหนือจากความสามารถในการทดแทนสินค้าจีนหรือสหรัฐฯแล้ว การส่งออกสินค้ากลุ่มอาหาร และกลุ่มเครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ขยายตัวดี ยังได้รับแรงสนับสนุนจากความต้องการสินค้าที่ตอบโจทย์ความมั่นคงอาหารหรือพฤติกรรมการท้างานหรืออยู่ที่บ้านของผู้บริโภคในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วย
นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวเพิ่มเติมว่า สงครามการค้ายังทำให้เกิดการย้ายฐานการลงทุน (Investment Diversion) หลายรูปแบบ ทั้งการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศตัวเองหรือใกล้เคียง (Re-Shoring/Near-Shoring) การย้ายฐานการผลิตเข้าใกล้ตลาด ตลอดจนการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศใกล้เคียงที่มีศักยภาพ ประเทศไทยเองก็ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติรวมทั้งสหรัฐฯ และจีนมากขึ้น สะท้อนจากมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนของต่างชาติในไทยที่เติบโตขึ้นเกือบ 2 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดสงครามการค้า โดยก่อนมีสงครามการค้า (ปี 2560) มูลค่าขอรับการส่งเสริมอยู่ที่ประมาณ 2.8 แสนล้านบาท ขณะที่หลังจากมีสงครามการค้า (ปี 2561 และ 2562) มูลค่าขอรับการส่งเสริมอยู่ที่ประมาณ 5.1 – 5.4 แสนล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะสหรัฐฯ เป็นผู้ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุดในปี 2561 (ร้อยละ 57 ของเงินลงทุนต่างชาติที่ขอรับการส่งเสริมทั้งหมด) ขณะที่จีนเป็นผู้ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุดในปี 2562 (ร้อยละ 52)
กระแสการย้ายฐานการลงทุนที่เกิดขึ้น ยังช่วยส่งเสริมการส่งออกไทย แม้มูลค่าจะยังไม่มาก แต่เห็นแนวโน้มที่บริษัทต่างชาติหลายรายใช้ไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกได้มากขึ้นตั้งแต่ปี 2561 จากเดิมที่ไม่ส่งออกเลยหรือการส่งออกหดตัว เช่น บริษัทจีนในไทย สามารถส่งออกสินค้ากลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ยาง เคมีภัณฑ์ อาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์พลาสติกและผลิตภัณฑ์ไม้ เพิ่มขึ้น ขณะที่บริษัทสหรัฐฯ ส่งออก ยานพาหนะและส่วนประกอบ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ของใช้ในบ้าน/ออฟฟิศและอุปกรณ์อื่นๆ เพิ่มขึ้น
นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวสรุปว่า แม้ไทยจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า แต่ผู้ประกอบการไทยสามารถปรับตัวรับมือกับสงครามการค้าได้พอสมควร สินค้าไทยมีคุณภาพ สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในตลาดสหรัฐฯ และจีน ได้ดี จึงขอให้ผู้ประกอบการไทยเร่งใช้โอกาสนี้ ใช้ประโยชน์จากกิจกรรมการส่งเสริมการส่งออกเชิงรุกของกระทรวงพาณิชย์ โดยในตลาดสหรัฐฯ จะมุ่งผลักดันสินค้าไทยผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์อเมซอนดอทคอม (Amazon.com) การจับคู่เจรจาธุรกิจออนไลน์ และการจัดงานแสดงสินค้าออนไลน์ เพื่ออำนวยความสะดวกในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 พร้อมทั้งส่งเสริมสินค้าเกษตร อาหาร สินค้าไลฟ์สไตล์ ในเมืองที่มีความต้องการเฉพาะ เช่น ชิคาโก ไมอามี ลอสแอนเจลิส ขณะที่ตลาดจีน จะเร่งผลักดันสินค้าไทยสู่แพลตฟอร์มออนไลน์เถาเป่า (Taobao) ควบคู่กับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอาหารไทย ผ่านร้านอาหารที่มีตราสัญลักษณ์ไทยซีเล็คท์ (Thai Select) การส่งเสริมสินค้าผลไม้และสินค้าอื่นๆ ผ่านช่องทางค้าปลีกสมัยใหม่ ในเมืองที่มีศักยภาพ เช่น หนานหนิง ต้าเหลียน คุนหมิง อีกทั้ง ยังมีกิจกรรมเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงตลาดทั่วโลกอื่นๆ อาทิ กิจกรรมจับคู่เจรจาการค้าสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นบนแพลตฟอร์มออนไลน์ (STYLE Bangkok Telematching in Lifestyle Online Virtual Exhibition – L.O.V.E.) ในกลางเดือนสิงหาคม 2563 หรืองานแสดงสินค้าที่ผสานทั้งรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ของกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม (งาน Thaifex – Anuga ASIA 2020 “The Hybrid Edition”) ในเดือนกันยายนนี้
นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวทิ้งท้ายว่า สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างมหาอานาจ ยังเป็นโอกาสที่ไทยควรเร่งดึงดูดเม็ดเงินลงทุน เพื่อส่งเสริมขีดความสามารถการค้าไทยในอนาคต ทั้งจากนักลงทุนสหรัฐฯ และจีน รวมถึงนักลงทุนประเทศอื่นๆ ที่มีแนวโน้มว่าหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย จะยังคงลงทุนในประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีศักยภาพ รวมถึงไทย อย่างไรก็ดี ต้องติดตามประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน และประเด็นที่ส่งผลต่อการส่งออกไทยอย่างใกล้ชิด อาทิ การบังคับใช้ข้อตกลงเศรษฐกิจการค้าระยะแรกระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยเฉพาะประเด็นเชิงโครงสร้าง เช่น ทรัพย์สินทางปัญญา เทคโนโลยี ที่จีนต้องปฏิบัติตามนอกเหนือจากการซื้อสินค้าและบริการจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ตลอดจนประเด็นอื่นๆ ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นชนวนความขัดแย้ง เช่น สิทธิมนุษยชน และการปกครองฮ่องกง รวมถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นปลายปีนี้ ซึ่งอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และนโยบายการต่างประเทศในภาพรวมของสหรัฐฯ ในระยะต่อไป นอกจากนี้ ยังมีประเด็นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจการค้าและนโยบายในหลายประเทศ และอาจถูกสหรัฐฯ ใช้เป็นเหตุผลเพื่อดำเนินมาตรการต่างๆ กับจีนในอนาคตด้วย
……………………………………..