กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยจากอิทธิพลมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม – 11 กันยายน 2561 ทำให้เกิดสถานการณ์ภัยใน 20 จังหวัด สถานการณ์คลี่คลายแล้ว 11 จังหวัด ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยใน 9 จังหวัด ได้แก่ หนองคาย บึงกาฬ นครพนม สกลนคร กาฬสินธุ์ อุบลราชธานี นครนายก ปราจีนบุรี และเพชรบุรี ซึ่ง ปภ. ได้ร่วมกับจังหวัด หน่วยทหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยครอบคลุมทุกด้าน มุ่งดูแลชีวิตความเป็นอยู่และความปลอดภัยเป็นหลัก พร้อมระดมเครื่องจักรกลด้านสาธารณภัยสนับสนุนการแก้ไขปัญหาอุทกภัยควบคู่กับการเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่น้ำท่วมขัง เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
นายชยพล ธิติศักดิ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า อิทธิพลมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม – 11 กันยายน 2561 ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง และดินถล่มในพื้นที่ 20 จังหวัด ได้แก่ น่าน เชียงราย ลำปาง พะเยา เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน หนองคาย นครพนม บึงกาฬ เพชรบุรี สกลนคร ลพบุรี นครนายก ชัยภูมิ เพชรบูรณ์ พิจิตร กาฬสินธุ์ อุบลราชธานี ปราจีนบุรี และสระบุรี รวม 108 อำเภอ 481 ตำบล 2,668 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 63,537 ครัวเรือน 199,131 คน ผู้เสียชีวิต 4 ราย สถานการณ์คลี่คลายแล้ว 11 จังหวัด ได้แก่ น่าน ลำปาง พะเยา เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เพชรบูรณ์ เชียงราย ลพบุรี พิจิตร ชัยภูมิ และสระบุรี
ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย 9 จังหวัด รวม 39 อำเภอ 176 ตำบล 1,308 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 32,324 ครัวเรือน 88,006 คน แยกเป็น
ลุ่มน้ำโขง 3 จังหวัด ได้แก่
หนองคาย น้ำท่วม ในพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองหนองคาย อำเภอศรีเชียงใหม่ อำเภอท่าบ่อ และอำเภอโพนพิสัย รวม 7 ตำบล 59 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 2,038 ครัวเรือน 4,890 คน พื้นที่การเกษตรคาดว่าเสียหาย 9,307 ไร่ ปัจจุบันระดับน้ำมีแนวโน้มลดลง
บึงกาฬ น้ำในแม่น้ำโขงล้นตลิ่งในพื้นที่ 8 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองบึงกาฬ อำเภอบุ่งคล้า อำเภอโซ่พิสัย อำเภอปากคาด อำเภอศรีวิไล อำเภอบึงโขงหลง อำเภอเซกา และอำเภอพรเจริญ รวม 44 ตำบล 371 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 8,038 ครัวเรือน 29,439 คน พื้นที่การเกษตรคาดว่าเสียหาย 41,338 ไร่ ปัจจุบันระดับน้ำมีแนวโน้มลดลง
นครพนม น้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอศรีสงคราม อำเภอนาหว้า อำเภอนาทม อำเภอบ้านแพง อำเภอท่าอุเทน อำเภอธาตุพนม และอำเภอเมืองนครพนม รวม 56 ตำบล 584 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 11,600 ครัวเรือน 22,950 คน พื้นที่การเกษตรคาดว่าเสียหาย 179,704 ไร่ ปัจจุบันระดับน้ำมีแนวโน้มลดลง
ลุ่มน้ำอูนและลุ่มน้ำสงคราม 1 จังหวัด ได้แก่ สกลนคร น้ำท่วมในพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอคำตากล้า อำเภอนิคมน้ำอูน อำเภอพรรณานิคม อำเภออากาศอำนวย และอำเภอบ้านม่วง รวม 10 ตำบล 20 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 186 ครัวเรือน 500 คน พื้นที่การเกษตรคาดว่าเสียหาย 1,533 ไร่ ปัจจุบันระดับน้ำมีแนวโน้มลดลง
ลุ่มน้ำชี 2 จังหวัด ได้แก่
กาฬสินธุ์ น้ำท่วมในพื้นที่อำเภอ 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ อำเภอกมลาไสย และอำเภอฆ้องซัย รวม 18 ตำบล 68 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 961 ครัวเรือน 1,873 คน ปัจจุบันระดับน้ำมีแนวโน้มลดลง
อุบลราชธานีน้ำท่วมในอำเภอเขื่องใน รวม 9 ตำบล 25 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 975 ครัวเรือน 1,462 คน ปัจจุบันระดับน้ำมีแนวโน้มลดลง
ลุ่มน้ำปราจีนบุรี 2 จังหวัด ได้แก่
นครนายก น้ำท่วมในพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองนครนายก อำเภอบ้านนา อำเภอองครักษ์ และอำเภอปากพลี รวม 16 ตำบล 97 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 5,756 ครัวเรือน 17,268 คน พื้นที่การเกษตรคาดว่าเสียหาย 1,020 ไร่ ปัจจุบันระดับน้ำมีแนวโน้มลดลง
ปราจีนบุรี น้ำท่วมในพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองปราจีนบุรี อำเภอประจันตคาม อำเภอศรีมหาโพธิ และอำเภอบ้านสร้าง รวม 10 ตำบล 66 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 2,280 ครัวเรือน 7,589 คน ปัจจุบันระดับน้ำมีแนวโน้มลดลง
ลุ่มน้ำเพชรบุรี 1 จังหวัด ได้แก่ เพชรบุรี น้ำท่วมในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอแก่งกระจาน อำเภอท่ายาง และอำเภอบ้านแหลม รวม 6 ตำบล 18 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 490 ครัวเรือน 2,035 คน ปัจจุบันระดับน้ำในแม่น้ำเพชรบุรีลดลง แต่ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำการเกษตร
ทั้งนี้ ปภ.ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาอุทกภัยให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ พร้อมกำชับจังหวัดที่สถานการณ์คลี่คลายแล้วเร่งสำรวจและจัดทำบัญชีความเสียหายให้ครอบคลุมทุกด้าน เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ ส่วนจังหวัดที่ยังมีสถานการณ์อุทกภัยให้ดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ประสบภัย ควบคู่กับการเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ โดยเชื่อมโยงการระบายน้ำในพื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัดอย่างใกล้ชิด เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ท้ายนี้หากประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้การช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป