กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ชวนประชาชนร่วมมือ ร่วมใจ ป้องกันโรคไข้เลือดออก ด้วยการ มีสำนึกต่อส่วนรวม ร่วมสร้างสังคมที่ดี ด้วย 3 เก็บ ปฏิบัติได้ไม่ยาก เพื่อตนเอง ครอบครัว และสังคม ตามหลักสุขบัญญัติ
นายแพทย์ภานุวัฒน์ ปานเกตุ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า ขณะนี้ ทั่วประเทศต่างได้รับผลกระทบจากฝนที่ตกหนัก จึงอาจจะทำให้เกิดน้ำขังตามภาชนะ หรือแอ่งน้ำจนเกิดเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายซึ่งเป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออก โดยข้อมูลจากระบบรายงานโรคในระบบเฝ้าระวัง 506 ของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 3 กันยายน 2561 มีรายงานผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก สะสมรวม 52,670 ราย เสียชีวิต 69 ราย โดยส่วนใหญ่พบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกในกลุ่มอายุ 15-24 ปี แม้ว่าจำนวนผู้ป่วยใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แต่พบว่าปีนี้มีอัตราป่วยตายสูงขึ้น ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนทุกคนต้องร่วมมือกันในการป้องกันไข้เลือดออกที่อาจเกิดขึ้นได้
นายชาญยุทธ พรหมประพัฒน์ ผู้อำนวยการกองสุขศึกษา แนะประชาชนนำหลักสุขบัญญัติข้อ 10 ประการ มีสำนึกต่อส่วนรวม ร่วมสร้างสรรค์สังคม มาใช้ในการป้องกันโรคไข้เลือดออก อันเป็นการทำความดีด้วยจิตสาธารณะที่จะส่งผลดีทั้งต่อตนเอง ครอบครัว และรวมถึงคนในชุมชนด้วย โดยการนำมาตรการ 3 เก็บ คือ เก็บบ้าน เก็บขยะ เก็บน้ำ มาใช้ในการปฏิบัติเพื่อการป้องกันและกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย ดังนี้ 1) เก็บบ้าน ด้วยการเก็บข้าวของเครื่องใช้ในบ้านให้เป็นระเบียบ และปลอดโปร่ง ไม่อับทึบ ไม่ให้ยุงลายเกาะพักในมุมมืดตามสิ่งของต่างๆ 2) เก็บขยะ เศษภาชนะที่ทำให้น้ำขัง โดยเดินสำรวจรอบๆ บ้าน ชุมชนหรืออาคาร หากพบให้ทิ้งทันที 3) เก็บน้ำ ด้วยการปิดภาชนะใส่น้ำให้มิดชิด เปลี่ยนถ่ายน้ำทุกสัปดาห์ หรือโรยผงทรายอะเบท ไม่ให้ยุงลายวางไข่ ทั้งนี้ ประชาชนควรป้องกันการถูกยุงกัด โดย ทายากันยุง นอนในมุ้ง ไม่นอนถอดเสื้อ เพื่อป้องกันการเกิดโรคไข้เลือดออก ซึ่งประชาชนสามารถปฏิบัติตามหลักสุขบัญญัติได้ทุกวัน เพื่อการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง โดยเฉพาะการมีสำนึกต่อส่วนรวมในการช่วยกันปฏิบัติตามหลัก 3 เก็บที่กล่าวมาก็จะสามารถช่วยป้องกันโรคไข้เลือดออกทั้งของตนเอง ครอบครัว และสังคมได้
ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามข่าวสารความรู้ด้านสุขภาพของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพและความรู้เรื่องโรคไข้เลือดออกผ่านช่องทางต่างๆ ได้ทั้งเว็บไซต์คลังความรู้สุขภาพ (healthydee.moph.go.th) เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และยูทูป ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ