อนุญาตให้ขาย แต่ไล่จับออนไลน์จนหมดตัว! 6 ชมรมคราฟท์เบียร์ ยื่นจดหมายร้องเรียนคณะกรรมาธิการสาธารณสุข โพสต์ภาพเบียร์หาทางรอดช่วงโควิด กลับถูกปรับซ้ำเติมหนัก

หลังมาตรการผ่อนปรน อนุญาตให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เฉพาะซื้อกลับบ้านเท่านั้น เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีผลให้ผู้ประกอบการร้านอาหาร เครื่องดื่ม และผู้นำเข้า กลับมาเปิดกิจการตามปกติ และมีการบอกกล่าวถึงการกลับมาดำเนินธุรกิจผ่านทางสื่อออนไลน์ เพื่อแจ้งกับผู้บริโภคว่าจำหน่ายสินค้าได้แล้วและปัจจุบันมีสินค้าใดจำหน่ายบ้าง หวังให้มีลูกค้ากลับมาหลังจากปิดร้านค้าไปมากกว่า 1 เดือน สิ่งนี้กลายเป็นช่องโหว่ให้เจ้าหน้าที่รัฐและคนบางกลุ่มทำการแจ้งจับ และออกหมายเรียกในข้อหา มีการกระทำอันเข้าข่ายเป็นความผิดฐานโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.๒๕๕๑ โดย ณ ขณะนี้ กลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหาร นักวิจารณ์เครื่องดื่ม ผู้ผลิตและผู้นำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้รับหมายเรียกแล้วกว่า 400 ราย โดยแต่ละรายถูกเรียกปรับที่ 50,000-500,000 บาท นับเป็นบทลงโทษที่สูงยิ่งกว่าคดีอุกฉกรรจ์ เสมือนเหยียบย่ำซ้ำเติมคนทำมาหากินในสภาวะเศรษฐกิจ ยุค Covid-19!

นายณิกษ์ อนุมานราชธน ผู้ก่อตั้งบริษัท  VV spirits ตัวแทนจากฝั่งผู้จำหน่ายเครื่องดื่มคอกเทล ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถูกหมายเรียกและปรับจากเจ้าหน้าที่ กล่าวว่า “เรามาถึงจุดที่คนที่เกี่ยวข้องกับสุรา ถูกกระทำไม่ต่างอะไรจากคนที่ขายยาเสพติด และดูเหมือนจะรุนแรงกว่าด้วยซ้ำ ในช่วงนี้ที่ทุกกิจการต่างต้องเผชิญความยากลำบาก แบกปากท้องของพนักงานลูกจ้าง ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เราคือบริษัทจดทะบียน ประกอบธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศที่อนุญาตให้จำหน่ายเป็นการค้าเสรี มีการเสียภาษีถูกต้อง แต่กลับต้องเจอกฎหมายที่เอาผิดซ้ำซ้อน เอาเปรียบประชาชนและคนทำธุรกิจ  สิ่งที่มอมเมาประชาชน จึงอาจไม่ใช่เหล้าเบียร์ แต่เป็นชุดความคิดที่ดูถูกและมองว่าประชาชนไม่มีความคิดมากพอ”

การสั่งปิดกิจการชั่วคราวของภาครัฐ ทำให้ธุรกิจร้านอาหารที่มีสต็อคสินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีอายุสั้น เช่น คราฟท์เบียร์ และไวน์องุ่น ได้รับผลกระทบเพราะสินค้าหมดอายุในช่วงวันห้ามจำหน่าย ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นมิอาจทวงคืนหรือขอรับการเยียวยาจากใครได้  ดังนั้น เมื่อมีการอนุญาตให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบกลับบ้านได้ จึงมีผู้ประกอบการหลายร้านที่พยายามดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ใช้สื่อออนไลน์สื่อสารกับผู้บริโภคให้ทราบว่าร้านเปิดดำเนินการและมีสินค้าจำหน่าย เช่น การเขียนข้อความและแสดงรูปภาพผลิตภัณฑ์ ในเฟสบุ๊คแฟนเพจร้าน กลุ่มเฟสบุ๊ค หรือแม้แต่ในโปรไฟล์ส่วนตัวของเจ้าของกิจการเอง

สิ่งนี้ กลายเป็นช่องโหว่ให้เจ้าหน้าที่ออกหมายเรียกผู้แสดงภาพและข้อความประชาสัมพันธ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วกว่า 400 ราย ให้เข้าไปรับทราบข้อกล่าวหา ฐานฝ่าฝืนมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มีความผิดปรับตั้งแต่ 50,000 บาท จนถึง 500,000 บาท!

นายศุภพงษ์ พรึงลำภู ตัวแทนจาก 6 ชมรมคราฟท์เบียร์ กล่าวว่า เราเข้าใจในความห่วงใยสังคมของเจ้าหน้าที่ แต่เมื่อพิจารณาโทษปรับที่รุนแรงถึง 500,000 บาท จำคุก 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ในการมาบังคับใช้กับการใช้ชีวิตปกติของคนทั่วไป เช่น การถ่ายรูป หรือการรีวิว การให้ข้อมูล​ ด้วยคำว่า “ผู้ใด” ตามมาตรา 32 นี้ ค่อนข้างเป็นการควบคุมและละเมิดสิทธิส่วนบุคคลมากเกินไป

 อยากให้เข้าใจตรงกันว่า สุราเป็นสินค้าควบคุมมีการจัดเก็บภาษีและมีกฎหมายห้ามมากมายอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอายุผู้ซื้อ พื้นที่การขาย และระยะเวลาขาย ฯลฯ การบังคับใช้ พรบ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาตรา 32 ในลักษณะแบบนี้ถือว่าซ้ำซ้อน มีแต่จะซ้ำเติมผู้ประกอบการ​รายย่อยและประชาชน โดยเฉพาะในปัจจุบันที่สังคมและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปมากจากช่วงเวลาที่ออกกฏหมายนี้มา”

ในการนี้ ตัวแทนชมรมผู้ประกอบการเกี่ยวกับคราฟท์เบียร์ และนักวิจารณ์เบียร์ทางเลือก รวม 6 ชมรม จึงได้ยื่นหนังสือร้องเรียนถึงคณะกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 4 มิถุนายน 2563 เวลา 13.00 น. ที่รัฐสภาแห่งใหม่ ถนนสามเสน ชี้แจงเหตุผล 7 ประการที่เห็นว่า มาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีข้อความไม่ชัดเจน ทำให้มีการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่เกินจำเป็น มีอัตราค่าปรับสูงเกินไป มีการจัดสรรเป็นเงินรางวัลให้กับเจ้าหน้าที่ เป็นการกีดกันทางการค้ามิให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถแข่งขันกับรายใหญ่ที่มีศักยภาพในการจ่ายค่าปรับมากกว่า และเป็นการซ้ำเติมผู้ประกอบการที่ได้รับความยากลำบากในการประกอบธุรกิจในปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ตลอดจนละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญของประชาชนในการแสดงความเห็นแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับเครื่องดื่มทางเลือกโดยสุจริตและไม่มีผลประโยชน์ตอบแทน  มีความซ้ำซ้อนในการบังคับใช้กฎหมายควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น การจัดโซนนิ่ง การจำกัดระยะเวลาขาย และห้ามจำหน่ายแก่ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี เป็นต้น โดยคณะตัวแทนฯ ได้เรียกร้องให้คณะกรรมาธิการฯ เร่งพิจารณาหาแนวทางแก้ไขเยียวยาสถานการณ์โดยเร่งด่วน

“สุดท้ายนี้ ในเวลาที่ยากลำบากเพราะวิกฤติ​โรคระบาด covid-19 พวกเราอยากให้เจ้าหน้าที่ทำความเข้าใจมิติอื่นๆ ของเรื่องนี้บ้าง  เครื่องดื่ม​แอลกอฮอล์​ ไม่ได้มีแค่มิติของคนเมาหรือการมั่วสุม แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของภาคธุรกิจในการขับเคลื่อน​เศรษฐกิจ​ของประเทศ มี “มนุษย์​” มากมายที่ทำงานในธุรกิจนี้เพื่อหล่อเลี้ยงครอบครัว และมีทักษะ​วิชาชีพ​ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมนี้ หลายคนกำลังพยายามดิ้นรนเพื่อฟื้นฟูตนเองกลับมาจากวิกฤต ดังนั้นขออย่าได้ซ้ำเติมกันเลย” นายศุภพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับภาคประชาชน ได้ร่วมกันขับเคลื่อนแคมเปญ หยุดทำร้ายประชาชน ยกเลิก พรบ ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มาตรา 32 ผ่าน https://www.change.org/ โดยมีเนื้อหาโครงการทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ซึ่งในเวลาเพียงไม่ถึง 24 ชั่วโมงก็มีผู้ร่วมลงชื่อเข้าร่วมนับพันราย และคาดว่าจะมีผู้ให้การสนับสนุนมากขึ้นเรื่อยๆ