สช.ขานรับมาตรการช่วยลูกหนี้กองทุนสงเคราะห์ฝ่าวิกฤติ COVID 19

วันที่ 22 เมษายน 2563 ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) กล่าวถึงมาตรการการช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อเพื่อสวัสดิการ (เงินทุนเลี้ยงชีพ) สำนักงานกองทุนสงเคราะห์ว่า จากสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ COVID 19 ที่ยังวิกฤติอยู่ในตอนนี้ ตนได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) และสำนักงานกองทุนสงเคราะห์หารือแนวทางร่วมกัน เพื่อช่วยเหลือโรงเรียนเอกชน ในการบรรเทาความเดือดร้อนช่วงนี้ ให้ทุกคนสามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤตินี้ไปได้ ซึ่งสำนักงานกองทุนสงเคราะห์ ได้จัดการประชุมคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ ครั้งที่ 4/2563 ณ ห้องประชุมจันทรเกษม เมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา โดยได้มีมติที่ประชุมให้มีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อเพื่อสวัสดิการ (เงินทุนเลี้ยงชีพ) จากสถานการณ์การ COVID 19 ดังนี้คือ มาตรการงดคิดดอกเบี้ยและค่าปรับสินเชื่อเพื่อสวัสดิการ (กองทุนเลี้ยงชีพ) ลูกหนี้เดิม (โครงการ 1-4) เป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่ 1 พ.ค. 63 – 30 ต.ค. 63 และมาตรการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สินเชื่อเพื่อสวัสดิการจาก 4.5% เหลือ 4% ต่อปี (ยกเว้นโครงการที่ดอกเบี้ยต่ำอยู่แล้ว) (โครงการที่ 3-4) ตั้งแต่ 1 พ.ค. 63 เป็นต้นไป ซึ่งมาตรการช่วยเหลือดังกล่าวจะมีผลอัตโนมัติ โดยที่สมาชิกไม่ต้องยื่นคำร้อง โดยมาตรการช่วยเหลือดังกล่าว ตนเชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพของผู้อำนวยการ ครู และบุคลากรทางการศึกษา ที่มีภาระหนี้สินเชื่อเพื่อสวัสดิการ (เงินกองทุนเลี้ยงชีพ) ให้สามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤตินี้ไปได้

นอกจากนี้ ดร.อรรถพล ตรึกตรอง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (เลขาธิการ กช.) ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนได้มอบหมายให้ นายชัยณรงค์ ป้องบ้านเรือ รองเลขาธิการ กช. เข้าร่วมประชุมเพื่อร่วมหาแนวทางมาตรการการช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อเพื่อสวัสดิการ(เงินทุนเลี้ยงชีพ) สำนักงานกองทุนสงเคราะห์ โดยที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบมาตรการจัดตั้งสินเชื่อเพื่อสวัสดิการ (เงินทุนเลี้ยงชีพ) (โครงการ 5) เพื่อขยายสิทธิ์ให้กับสมาชิกที่มีอายุงาน 5 ปี แต่ไม่ถึง 10 ปี ได้มีสิทธิ์กู้สินเชื่อเพื่อสวัสดิการ และเพิ่มวงเงินจากเดิมร้อยละ 80 เป็นร้อยละ 90 ของเงินสะสม (3%) สำหรับสมาชิกที่มีอายุงาน 5 ปี แต่ไม่ถึง 10 ปี ส่งเงินสะสม 60 งวดขึ้นไป และร้อยละ 90 ของเงินสะสมและเงินสมทบ (12%) สำหรับสมาชิกที่มีอายุงาน 10 ปีขึ้นไปตั้งแต่ 1 พ.ค. 63 เป็นต้นไป


ข่าว : กรรณิกา พันธ์คลอง
ภาพ : ฐิติวัจน์ ชัยกิมานนท์