ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน หารือมาตรการเร่งด่วนของกระทรวงแรงงานทั้ง 3 ด้าน ในการป้องกันวิกฤติการจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019
วันที่ 23 มีนาคม 2563 เวลา 09.00 น. ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมมาตรการเร่งด่วนในการป้องกันวิกฤติการจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ของกระทรวงแรงงาน ณ ห้องแสงสิงแก้ว ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดย ดร. ดวงฤทธิ์ฯ กล่าวถึงมาตรการเร่งด่วนในการป้องกันวิกฤติการจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ของกระทรวงแรงงาน ดังนี้
1. มาตรการป้องกันและสกัดกั้นการนำเชื้อเข้าสู่ประเทศไทย (ด้านต่างประเทศ) สืบเนื่องจากการประกาศยกระดับเตือนภัยการเดินทางหลายประเทศและภูมิภาคที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระดับ 3 ของประเทศไต้หวัน ซึ่งเป็นการเตือนระดับสูงสุด กระทรวงแรงงานได้ดำเนินการแจ้งไปยังบริษัทจัดหางานที่จัดส่งคนงานไปยังประเทศไต้หวันทราบถึงมาตรการที่กระทรวงแรงงานไต้หวันได้ดำเนินการแล้ว และให้สำนักงานแรงงานไทยในไต้หวันทั้งเมืองเกาสงและไทเป ให้แจ้งแรงงานไทยที่ยังคงทำงานอยู่ในไต้หวัน รวมทั้งสิ้น 58,572 คน ได้รับทราบและถือปฏิบัติตามมาตรการนั้น ส่วนกรณีของเกาหลีใต้ ตั้งแต่มีมาตรการผ่อนปรนในวันที่ 11 ธันวาคม 2562 มีคนไทยเดินทางกลับประเทศรวมทั้งสิ้น 6,814 คน โดยหลังมีประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย กรณีติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ตั้งแต่วันที่ 3 – 15 มีนาคม 2563 มีแรงงานไทยเดินทางกลับมาแล้วจำนวน 2,087 คน ขณะนี้เดินทางเข้ามาเฉลี่ยวันละ 150 คน โดยจะต้องมีใบรับผลการตรวจโควิด-19 ทุกคน
2. มาตรการยับยั้งการระบาดภายในประเทศ (ด้านป้องกัน) ได้จำกัดการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเร่งรัด โดยให้นายจ้างและสถานประกอบการยื่นความประสงค์ที่จะต่อทะเบียนแรงงานต่างด้าวให้ครบก่อน 31 มีนาคม 2563 รวมถึงการดำเนินงานในส่วนอื่นสามารถทำได้จนถึง 30 มิถุนายน 2563 นอกจากนี้การเดินทางกลับประเทศของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติในช่วงสงกรานต์ กระทรวงแรงงานจะแจ้งไปยังนายจ้างที่มีการจ้างแรงงานต่างด้าวให้ประกาศให้ลูกจ้างต่างด้าวทราบต่อไป และในปีนี้จะไม่มีการยกเว้นค่าธรรมเนียมการเดินทางเข้า – ออก ประเทศให้แก่แรงงานกลุ่มนี้ นอกจากนี้กระทรวงแรงงานมีการประกาศมาตรการทำงานที่บ้าน Work from Home เพื่อให้บุคลากรสามารถปฏิบัติงานได้ โดยพร้อมที่จะเดินทางมาปฏิบัติงาน ณ สำนักงานได้ตลอดเวลาหากมีเรื่องเร่งด่วน และให้มีการจัดผลัดการมาปฏิบัติงาน โดยเริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563 นอกจากนี้ยังได้ส่งเสริมการผลิตและการใช้หน้ากากผ้าแก่ประชาชน สร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์มาตรการป้องกันโรคโควิด – 19 ในสถานประกอบการด้วยการให้ความรู้ลูกจ้าง ผู้ประกันตนในสถานประกอบการ รวมถึงประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับโรคโควิด – 19 ผ่านสื่อทุกช่องทางอย่างต่อเนื่อง
3. มาตรการเยียวยา กรณีผู้ประกันตนที่ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าโรคโควิด-19 ไม่ต้องจ่ายค่าตรวจหรือค่ายาใดๆ รวมถึงสามารถเข้ารักษาโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้หรือโรงพยาบาลของรัฐตามระบบประกันสังคม และเบิกจ่ายกรณีฉุกเฉิน ภายใน 72 ชั่วโมง หากผู้ประกันตนลาป่วยโดยได้รับค่าจ้างจากนายจ้างครบ 30 วัน แต่ต้องหยุดงานตามคำสั่งแพทย์ต่อไปอีก สำนักงานประกันสังคมจะจ่ายเงินทดแทนการขาดรายได้ ครั้งละไม่เกิน 90 วัน และไม่เกิน 180 วันต่อปี ด้านการปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานนั้น หากลาออกจะได้รับเงินทดแทนทั้ง กรณีการขาดรายได้ กรณีเลิกจ้าง และกรณีเหตุสุดวิสัย ซึ่งครอบคลุมทั้งประกันตนที่ไม่ได้ทำงาน และนายจ้างที่ถูกสั่งให้หยุดประกอบกิจการ
ผู้ช่วย รมว.ประจำกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ยังมีมาตรการให้ความช่วยเหลือสถานประกอบกิจการที่อยู่ในข่ายบังคับตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 โครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน การลดอัตราเงินสมทบนายจ้าง และผู้ประกันตน การย้ายกำหนดเวลายื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตน ซึ่งอยู่ในระหว่างการหารือ อีกทั้งมาตรการเพื่อเยียวยาลูกจ้าง กรณีเลิกจ้างและไม่ได้รับเงินตามกฎหมาย มาตรการชะลอการเลิกจ้าง การจัดตั้งศูนย์บริการจัดหางาน Part – time การจ้างงานเร่งด่วนและพัฒนาทักษะฝีมือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาชีพ การจ้างบัณฑิตที่ว่างงานมาเป็นผู้ประสานงานโครงการของกระทรวงแรงงานในระดับพื้นที่ การปรับแผนการฝึกอบรมทักษะฝีมือให้แก่แรงงานรองรับสถานการณ์ว่างงานและวิกฤตเศรษฐกิจ ระยะ 3 เดือน และการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการรองรับสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 (Hot Line COVID – 19) เพื่อให้บริการ Hotline หมายเลข 02-9562513-4 ในวันและเวลาราชการ หรือ ติดต่อสายด่วน 1506 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
+++++++++++++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
23 มีนาคม 2563