นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวถึงการลดดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เพื่อรองรับการระบาดของ COVID-19 ที่อาจจะรุนแรงกว่าที่คาดไว้เดิม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยว่า วัตถุประสงค์หลักในการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้น่าจะเน้นผลเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก ซึ่งหากได้ความร่วมมือจากธนาคารพาณิชย์ในการช่วยแก้ปัญหาสภาพคล่องของลูกหนี้ อาทิ การยืดระยะเวลาชำระหนี้ของกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs และประชาชน เป็นต้น ก็จะบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น
ผอ. สนค. กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยครั้งนี้ จะส่งผลต่อการค้าในด้านต่าง ๆ เช่น ค่าเงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าลง ตามการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคการส่งออกโดยเฉพาะสินค้าเกษตร โดยหากสินค้าเกษตรขายแล้วรับเป็นเงินบาทมากขึ้นก็จะเป็นผลดีต่อรายได้ของเกษตรกร แต่สำหรับภาคการนำเข้า โดยเฉพาะธุรกิจที่พึ่งพาชิ้นส่วนและวัตถุดิบนำเข้า (Import Content) สูง อาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นตามเงินบาทที่อ่อนค่าลง จึงควรเตรียมพร้อมรับมือด้วยการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Foreign Exchange Hedge) ซึ่งหากเงินบาทอ่อนไปอีกระยะหนึ่ง ก็จะช่วยประคองการส่งออกไปได้บ้าง ท่ามกลางปัจจัยกดดันอื่น ๆ โดย สนค. คาดการณ์ว่าการลดลงของอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 จะส่งผลให้มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นประมาณ 385 ล้านดอลลาร์ สรอ.
นอกจากนี้แล้ว การลดอัตราดอกเบี้ยรวมกับราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างมาก จะส่งผลให้ต้นทุนในการบริโภคและการลงทุนลดลง สำหรับอัตราเงินเฟ้อ คงจะได้รับผลจากการลดดอกเบี้ยไม่มากนัก แต่ปัจจัยราคาน้ำมันจะเป็นปัจจัยกดดันลง (downward factor) ที่มีน้ำหนักมากกว่า และอีกปัจจัยที่น่าจะมีผลต่อเงินเฟ้อ จะเป็นราคาสินค้าอาหารที่มีอุปสงค์ในประเทศมากขึ้น แต่อุปทานอาจจะได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ดังนั้น เมื่อหักกลบลบกัน คิดว่าปัจจัยสำคัญต่อเงินเฟ้อน่าจะเป็นเรื่องอื่นมากกว่าการลดดอกเบี้ย
สำหรับมาตรการปิดสถานที่บางแห่งในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่มีผลใช้บังคับในวันนี้ (22 มีค. 63) ว่า ผอ. สนค. กล่าวว่า ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์น่าจะมีบทบาทสนับสนุนในด้านการดูแลราคาสินค้าและบริการไม่ให้มีการฉวยโอกาสขึ้นราคา การรับรองให้ประชาชนมีช่องทางเข้าถึงสินค้าและบริการที่จำเป็น และการติดตามดูแลไม่ให้มีการกักตุนสินค้าอาหารและอุปโภคบริโภคเป็นหลัก ซึ่งที่ผ่านมา สนค. ได้ส่งพนักงานเก็บราคาไปสำรวจตลาดทุกจังหวัดเพิ่มเติมพร้อมกับหารือกับภาคเอกชนแล้ว
“จากรายงานที่ได้รับจนถึงวันศุกร์ที่ 20 มีค. 63 ด้านราคาในประเทศส่วนใหญ่ยังปกติ ในทุกภูมิภาค ยังไม่พบเจอการฉวยโอกาสขึ้นราคา สำหรับสถานการณ์การผลิตสินค้าส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับปกติและเพียงพอต่อความต้องการ โดยเจลและแอลกอฮอล์น่าจะผลิตได้พอใช้ในไม่ช้า แต่หลังจากที่ประกาศมาตรการออกมาเมื่อวันที่ 21 มีค. อาจจะทำให้ประชาชนออกไปซื้อสินค้ามาเก็บมากขึ้น ตรงนี้ยังยืนยันว่า สินค้าอาหารและของใช้อุปโภคบริโภคยังมีปริมาณเพียงพอให้คนไทยกินใช้ในประเทศ ผู้ผลิตและร้านค้าพร้อมจะผลิตเพิ่มขึ้นหรือจัดชั้นวางให้เร็วขึ้นเพื่อให้ประชาชนซื้อหาได้ตลอดเวลา และร้านอาหารร้านค้าไม่ได้ปิดหมด ยังคงออกไปหาซื้อของได้
สำหรับการส่งออก สนค. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. พณ. และ War Room ได้ประสานกับภาคเอกชนและสอบถามโดยตรงกับผู้ผลิตที่เป็นเครือข่ายในการทำดัชนีราคานำเข้าส่งออกของเรา ได้รับข้อมูลตรงกันว่า หลายสินค้ามี order ลดลงหรือทรงตัว แต่มีข้าว ไก่ กุ้ง ที่มียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นมาก แต่น่าจะยังไม่กระทบต่อความต้องการในประเทศ อย่างข้าว ขอยืนยันว่ายังมีขายในประเทศเพียงพอแน่นอนในชั้นนี้ โดยกระทรวงพาณิชย์จะติดตามดูแลปริมาณการผลิตและการนำสินค้าจำเป็นเข้าสู่ตลาดอย่างใกล้ชิดต่อไป” นางสาวพิมพ์ชนกกล่าว
ทั้งนี้ มาตรการอื่น ๆ โดยเฉพาะการกระตุ้นเพื่อป้องกันไม่ให้การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนลดลงมากเกินไป เพราะอาจจะส่งผลต่อเศรษฐกิจในภาพรวมนั้น สนค. มองว่า งบประมาณของรัฐบาลที่กำลังจะมีเม็ดเงินออกมาในระบบเร็ว ๆ นี้ จะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งในการดูแลเศรษฐกิจ ซึ่งหากหน่วยงานมีความยืดหยุ่นในการปรับแผนการใช้จ่าย ให้สามารถเน้นกิจกรรมที่ช่วยสนับสนุนเกษตรกร SME และประชาชนที่ต้องการงานและรายได้ในห้วงเวลานี้ได้ ก็จะช่วยประคองเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ในระยะนี้ ส่วนมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคบริการ เช่น ท่องเที่ยว ช่วยเหลือแรงงาน และ SME หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป