สถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ หากพบอาการบ่งชี้ บวมของท้องหรือขา เหนื่อยง่ายกว่าปกติ หรืออยู่เฉยๆ มีอาการเหนื่อย และไม่สามารถนอนราบได้ ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของ โรคลิ้นหัวใจรั่ว
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคลิ้นหัวใจรั่วเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ เพราะมีความเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจโดยตรง หากรั่วหรือทำงานผิดปกติจะทำให้หัวใจไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ลิ้นหัวใจทำหน้าที่กั้นห้องหัวใจในแต่ละห้องซึ่งมี 4 ห้อง โดยแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ 1. ลิ้นหัวใจที่กั้นระหว่างหัวใจห้องบนและหัวใจห้องล่าง 2. ลิ้นหัวใจที่กั้นอยู่บริเวณหลอดเลือดที่นำเลือดออกจากหัวใจไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย จึงถือได้ว่าลิ้นหัวใจของร่างกายมีความสำคัญมาก เพราะหากเกิดความผิดปกติ เช่น ลิ้นหัวใจตีบ เปิดออกได้ไม่เต็มที่หรือลิ้นหัวใจรั่วปิดไม่สนิท หัวใจจะไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่และต้องทำงานหนักขึ้นกว่าเดิม หากเกิดความผิดปกติติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดภาวะลิ้นหัวใจตีบ รั่ว และอาจส่งผลร้ายแรง ถึงขั้นหัวใจวาย
นายแพทย์เอนก กนกศิลป์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคที่เกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจได้แก่ 1. ลิ้นหัวใจรูมาติค เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่เข้าไปทำลายเนื้อเยื่อ ระบบภูมิคุ้มกัน รวมถึงลิ้นหัวใจ ส่งผลให้ลิ้นหัวใจเกิดพังผืดและหินปูนมาเกาะจนไม่สามารถเปิด – ปิดได้เหมือนคนปกติทั่วไป ทำให้ลิ้นหัวใจตีบหรือรั่วขึ้น ส่งผลให้หัวใจวายได้ 2. ลิ้นหัวใจเสื่อมสภาพตามวัย มักพบในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพทำให้ลิ้นหัวใจผิดรูป เปิด-ปิดไม่สนิท เกิดอาการลิ้นหัวใจรั่วได้ 3. เส้นเลือดหัวใจตีบ เกิดจากกล้ามเนื้อตาย อ่อนแรง เมื่อหัวใจตีบนานๆ จะทำให้ลิ้นหัวใจรั่ว ส่วนใหญ่เกิดกับคนอายุ 50 – 60 ปี ทั้งนี้อาการที่อาจบ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว คือ มีอาการบวมของท้อง หรือขา เหนื่อยง่ายกว่าปกติ หรืออยู่เฉยๆยังมีอาการเหนื่อย และไม่สามารถนอนราบได้ ถ้ามีอาการเหล่านี้ ให้มาพบแพทย์ทันที เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็ว ซึ่งการรักษาลิ้นหัวใจสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ซ่อมแซมลิ้นหัวใจเดิม ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยและการวินิจฉัยของอายุรแพทย์หัวใจ นอกจากนี้ผู้ป่วยต้องรู้จักดูแลตนเองภายหลังการรักษา ดังนี้ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอไม่ควรหักโหมจนเกินไป หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด หวาน มัน เค็ม เลิกสูบบุหรี่ งดดื่มแอลกอฮอล์ และควรพักผ่อนให้เพียงพอ
*********************************************