พร้อมผลักดันวิจัยอุดช่องว่าง-พัฒนานโยบายการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคคนต่างด้าว สร้างความมั่นคงทางสุขภาพของประเทศและภูมิภาค สวรส. , องค์การอนามัยโลก (WHO) จับมือ ก.สธ. และ สสส. ผลักดันข้อเสนองานวิจัย แก้ปัญหาเชิงระบบ หวังพัฒนากลไกป้องกันโรคติดต่อที่มีประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่ายการติดตามรักษา มุ่งสู่เป้าหมายวัคซีนเพื่อทุกคนในประเทศไทย
Dr.Daniel Kertesz ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคด้วยวัคซีนให้กับทุกคนในประเทศไทย นับเป็นพันธสัญญาหนึ่งในด้านสุขภาพของประเทศไทยที่สอดคล้องกับนานาประเทศทั่วโลก เนื่องจากวัคซีนคือเครื่องมือทางสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพและคุ้มทุนในการป้องกันโรค หากมีการจัดระบบการให้บริการที่ครอบคลุมให้มากที่สุดหรืออย่างน้อยร้อยละ 90 ถึง 95 สำหรับประเทศไทยได้จัดบริการให้เด็กไทยทุกคนได้รับวัคซีนอย่างน้อย 10 ชนิดภายใต้แผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคด้วยวัคซีน ซึ่งจากการสำรวจความครอบคลุมของวัคซีนพื้นฐานในกลุ่มเด็กไทย ล่าสุดในปี พ.ศ. 2561 พบว่าวัคซีนพื้นฐานส่วนใหญ่มีความครอบคลุมมากกว่าร้อยละ 95 ยกเว้นความคลอบคลุมวัคซีนหัด หัดเยอรมันและคางทูมในเข็มที่ 2 ที่ควรได้รับเมื่ออายุ 2 ขวบครึ่ง มีความครอบคลุมเพียงร้อยละ 86 ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้คือร้อยละ 95 ภายใต้บริบทของประเทศไทย กลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มเข้าถึงวัคซีนพื้นฐานยาก นอกเหนือจากกลุ่มเด็กในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว ยังมีกลุ่มเด็กและผู้ใหญ่ที่ไม่มีสัญชาติไทย ได้แก่ ผู้ที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ และประชากรต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา เนื่องจากประชากรกลุ่มเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังขาดหลักประกันสุขภาพที่ครอบคลุม ดังนั้นองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย (WHO) จึงร่วมกับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ภายใต้แผนงานสุขภาพประชากรต่างด้าว ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนงานภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การอนามัยโลก สนับสนุนทุนวิจัยในการศึกษาทบทวนระบบบริการการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคสำหรับคนต่างด้าวในประเทศไทย เพื่อนำข้อมูลจากงานวิจัยเร่งผลักดันให้เกิดการพัฒนานโยบายการจัดการในการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคในประชากรต่างด้าว โดยองค์การอนามัยโลกหวังว่าข้อมูลจากงานวิจัยนี้ รวมถึงข้อเสนอและทางเลือกเชิงนโยบายจะช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการเข้าถึงวัคซีนที่มีความจำเป็นสำหรับทุกคนในประเทศไทย หรือ vaccine for all เพื่อการมีสุขภาพดีถ้วนหน้า หรือ health for all ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงทางด้านสุขภาพของประเทศไทยและภูมิภาคต่อไป
ทั้งนี้จากงานวิจัยพบว่า ผู้บริหารและผู้ให้บริการสุขภาพมีความมุ่งมั่นในการดำเนินงานเพื่อให้วัคซีนครอบคลุมทุกคนในประเทศไทย หากแต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่การจัดหาวัคซีนพื้นฐานให้เพียงพอโดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีสัญชาติไทย เนื่องจากประเทศไทยมีคลังวัคซีนเดียวจากงบประมาณของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และวัคซีนเป็นเวชภัณฑ์ที่ต้องมีระบบจัดหาและบริหารจัดการที่ยากกว่าเวชภัณฑ์ทั่วไป เพื่อให้ได้วัคซีนที่มีคุณภาพ เพียงพอ ทันเวลาและไม่ขาดแคลน การที่กองทุนหลักประกันสุขภาพระบุให้ใช้วัคซีนนี้ในเด็กไทยเท่านั้น จึงมีการตรวจสอบการใช้วัคซีนอย่างเข้มข้น ส่งผลให้พบปัญหาในการเบิกวัคซีนจนกระทั่งเกิดการระบาดของหัดและคอตีบในพื้นที่ที่มีประชากรต่างด้าวอยู่หนาแน่น ความพยายามการแก้ปัญหามุ่งไปที่การนำเงินกองทุนประกันสุขภาพของผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิ และกองทุนประกันสุขภาพคนต่างด้าว ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงสาธารณสุข ไปร่วมจัดซื้อวัคซีนเพิ่มเติม แต่ติดข้อขัดข้องในด้านภารกิจของหน่วยงานและระเบียบราชการทำให้ยังไม่สามารถนำเงินไปใช้ได้ นอกจากนี้มีข้อเสนอทางเลือกในการบรรลุเป้าหมายวัคซีนพื้นฐานเพื่อเด็กทุกคน ได้แก่ การปรับแนวคิดในด้านการป้องกันควบคุมโรคเพื่อให้คลังวัคซีนที่มีอยู่ ใช้ในเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยได้ โดยให้กรมควบคุมโรคบริหารจัดการวัคซีนในเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยทั้งหมด พร้อมหาแนวทางปรับแก้โดยให้กองทุนที่มีเงินอยู่แล้ว สามารถนำมาสมทบเพื่อใช้จัดหาวัคซีนได้ สำหรับวัคซีนในผู้ใหญ่มีเป้าหมายให้เข้าถึงแรงงานต่างด้าวให้มากขึ้นเพื่อการกวาดล้างหัด โดยการฉีดวัคซีนหัดที่บูรณาการกับระบบต่างๆ เช่น ในช่วงตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว กำหนดให้เป็นสิทธิประกันสังคม สร้างความร่วมมือกับภาคเอกชน รวมทั้งการรณรงค์เชิงรุกเพื่อเข้าถึงกลุ่มที่ไม่มีประกันสุขภาพและไม่มีเอกสารประจำตัว
ด้าน นพ.นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กล่าวว่า กลุ่มคนต่างด้าวเป็นกลุ่มเปราะบางในสังคมที่ สวรส. ดำเนินงานวิจัยในการพัฒนากลไกสนับสนุนในมิติต่างๆ เพื่อให้เกิดการบริการสุขภาพที่เป็นธรรม เหมาะสม และส่งผลต่อคุณภาพชีวิตที่ดีมาโดยตลอด ซึ่งกลุ่มคนต่างด้าว นอกจากจะมีคุณประโยชน์ในการขับเคลื่อนและพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยแล้ว คนกลุ่มนี้ยังมีการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากการจับจ่ายใช้สอยและบริโภคสินค้าในประเทศไทยทุกวัน โดยคาดประมาณว่า หากประชากรต่างด้าว 4 ล้านคน ต่อคนใช้เงิน 50 บาทต่อวัน จะมีเงินเข้าสู่งบประมาณแผ่นดินรวม 5 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นจำนวนเงินไม่น้อย ตลอดจนการสร้างความแข็งแกร่งทางด้านเศรษฐกิจของประเทศที่ยังต้องพึ่งพิงแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นการบริการสุขภาพขั้นพื้นฐานโดยเฉพาะการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคจึงควรครอบคลุมกลุ่มคนต่างด้าวด้วยเช่นกัน เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคระบาดที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางด้านสุขภาพและด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย ทั้งนี้เชื่อว่าข้อเสนอจากงานวิจัย จะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ และพัฒนาไปสู่นโยบายการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของคน
ต่างด้าวที่ส่งผลให้เกิดการบริการที่มีประสิทธิภาพ ครอบคลุม ภายใต้การจัดการด้านการเงินการคลังสุขภาพที่ยั่งยืนในอนาคต